Friday, April 7

ไป Hager City

หายไปสองวันเพราะคริสต้องขับรถไปเอาสังกะสี (zinc) เพิ่มสำหรับจ๊อบที่อินเดียน่านี้ค่ะ งานนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว แต่สังกะสีดันหมด ส่งมาไม่ทันก็เลยต้องขับไปขนมาเอง บริษัทที่มีสังกะสีขายที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่เมือง Hager City ในรัฐ Wisconsin อ้อมกับคริสก็ออกเดินทางกันเมื่องวันพุธตอนเที่ยงๆได้

เริ่มด้วยรูปสารถีก่อน หัวเหม่งเหมียนปกติแล้ว

อ้อมนั่งเป็นเทพีประดับรถ/เนวิเกเตอร์ตามเคย ใบขับขี่ยังไม่มี ยังช่วยขับไม่ได้ค่ะ น่าสงสารคริสจริงๆ

เส้นทางที่จะต้องขับไปก็ประมาณ 420 ไมล์ได้ วิ่งเส้นไฮเวย์ I-90 ทางตะวันตกผ่านชิคาโกทะลุ Illinois มาออกที่ Wisconsin (บรรยายเหมือนเหาะเอาเนอะ) แต่ทีนี้ไอ้เมือง Hager City นี่มันอยู่สุดไปทางตะวันตกของวิสคอนซิน I-90 มันไม่ผ่าน ต้องวิ่งเข้า Minnesota ก่อนแล้วตัดขึ้นไปทางเหนือกลับเข้าไปในวิสคอนซินใหม่ถึงจะเจ๊อะกับเมืองนี้ได้

ขาไปผ่านชิคาโกก็รถติดมากๆเพราะมีทำถนน รถติดอารมณ์เกือบเหมือนกอทอมอเลย แต่คนที่นี่ก็ยังมีระเบียบกว่ากรุงเทพฯเยอะ ไม่มีแทรกกันมากเท่าไหร่ พอหลุดจากชิคาโกไปได้ก็เจอรถติดอีกช่วงก็เสียเวลาไปอีกครึ่งชม.กว่าจะหลุดออกจากอิลลินอยส์มาได้ พอเข้าวิสคอนซินก็ไม่มีอะไรมากแล้ว สองข้างทางเป็นทุ่งซะส่วนใหญ่ รูปข้างล่างนี่เห็นควันไฟจากทุ่งข้างทางถ้าจะไหม้เยอะเหมือนกัน แต่ก็แค่ขับผ่าน ไม่เห็นอะไรมาก

จากวิสคอนซินเข้ามินเนสโซตาก็ผ่านทั้งเมืองใหญ่ไปจนถึงเมืองเล็กมากๆ ในมินเนสโซตาก็ทุ่งพอๆกัน แถมบางช่วงมีกลิ่นปุ๋ยคอกลอยมาตามลมให้ชื่นใจเหมือนบ้านเราเด๊ะเลย กว่าจะขับไปถึงหาเมือง Hager City เจอก็คํ่าแล้ว ในเมือง Hager City ไม่มีที่พักเลย ก็เลยต้องขับกลับมาฝั่งมินเนสโซตาหาโรงแรมนอน ได้ที่ Super 8 ห้องก็ธรรมดาแถมแพงอีกต่างหาก แต่ตอนนั้นก็เหนื่อยมากแล้ว ก็เลยหยวนๆไป เช็คอินเสร็จก็เดินออกมาทานข้าวเย็นที่ร้านใกล้ๆโรงแรม เป็นร้านอาหารเยอรมันกึ่งบาร์ อ้อมสั่งฮอทดอกใส่ไส้กรอกเนื้อ โอ้โห อันยักษ์มาก เส้นผ่าศูนย์กลางสองนิ้วได้ ทานไปได้ครึ่งเดียวก็จุกแล้ว ส่วนคริสสั่ง cheeseburger ขนาดครึ่งปอนด์ อ้อมพยายามเสนอให้สั่งอะไรที่มันสร้างสรรค์บ้าง อุตส่าห์มาถึงถิ่นคนเยอรมัน(คนที่มาตั้งรกรากสมัยก่อน)แล้ว แต่พ่อคุณก็สั่ง cheeseburger จนได้ จุกไปเหมือนกัน วันนั้นคริสทานแฮมเบอร์เกอร์ไปสองมื้อเลย สงสัยจะคิดถึงแฮมเบอร์เกอร์มาก หรือไม่ก็คงเบื่ออาหารที่อ้อมทำเต็มที่ ฮ่าฮ่า

ตื่นเช้ามาก็เช็คเอาท์แล้วก็ขับรถข้ามแม่นํ้า Mississippi ไป Hager City เพื่อไปเอาสังกะสี เสร็จแล้วก็ขับกลับมาที่มินเนสโซตา

เมืองที่นอนพักเมื่อคืนเนี่ยชื่อเมือง Red Wing เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ อยู่ริมแม่นํ้าเลย เมืองก็น่ารักดี มีดาวทาวน์ (รูปข้างล่าง) เล็กๆ ดูสะอาดสะอ้านดี มีร้านขายของ ร้านอาหารเยอะเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่เพราะยังหนาวอยู่ ถ้าเป็นหน้าร้อนคนคงคึกคัก เพราะมีกิจกรรมกลางแจ้งให้ทำเยอะ ทั้งดูนก ตกปลา แล่นเรือ อะไรประมาณนี้ (รูปเอียงนิดนึง ถนนมันไม่ได้เอียงเป็นสนามรถแข่งแบบนี้นะ เพิ่งสังเกตว่าตัวเองถ่ายรูปวิวเบี้ยวทุกรูป ตามประสาคนตาเอียง)
หลังจากอ่านคู่มือนำเที่ยวเมืองระหว่างที่รอคริสจัดการธุระ อ้อมก็อยากไปดูร้านขายเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อของที่นี่ ก็เลยไปแวะที่ร้านชื่อ Red Wing Pottery ชื่อเดียวกับเมือง รูปข้างล่างนี้ถ่ายในร้านค่ะ
ดูกันให้ชัดๆ ว่าหลานเขยสุดหล่อของน้าภาอ้วนขนาดไหนแล้วตอนนี้ เหมือนแป๊ะยิ้มเลยแฮะ รูปนี้
ส่วนอ้อมก็หน้าบานซะ กางเกงยีนส์งี้แทบปริ ตอนนี้ไม่อยากซักกางเกงยีนส์เลย เพราะว่ากลัวอบแล้วมันจะหด ใส่ไม่ได้ -_-"


รูปข้างล่างนี้ลองกล้องเล่น เห็นจานชามสีสวยดี

พวกนี้คือเครื่องปั้นดินเผาที่ทำที่นี่เลย สีเคลือบสวยดีเหมือนกัน โถที่เห็นในรูปข้างล่างเป็นโถใส่นํ้าผึ้ง เห็นแล้วนึกถึงไหปลาร้ามั้ยคะแล้วก็มีพวกจานชามไหต่างๆ เป็น stoneware ทั้งนั้น คือหนาหนัก และ ทนความร้อนดี

อ้อมกับคริสก็อดไม่ได้ ไปถึงถิ่นก็ต้องซื้อซะหน่อย งานฝีมือที่ทำในอเมริกาหาไม่ได้ง่ายๆ ก็เลยกัดฟันซื้อเหยือกมาหนึ่งเหยือก กับแก้ว mug สองใบ ที่ต้องกัดฟันก็เพราะว่ามันแพงเหลือเกิน สามอย่างนี้หมดไป $71 (อย่างว่างานฝีมือที่ทำในอเมริกาแพงทั้งนั้น) กะว่าจะเก็บเอาไว้เป็นมรดกลูกหลานสืบต่อไป หวังว่ามันคงเพิ่มมูลค่ามากขึ้นในอีกสัก 30 ปีข้างหน้า ฮ่าฮ่า

หลังจากช็อปปิ้งเสร็จก็ขับรถกลับ มาแวะทานข้าวกลางวันที่ mall ใหญ่ที่เมือง Rochester ในมินเนสโซตา ไม่รู้จะทานอะไรก็เลยไปที่ศูนย์อาหาร อ้อมทาน orange chicken กับบะหมี่ผัด อร่อยดี
ส่วนคริสก็ไร้ความคิดสร้างสรรค์เรื่องอาหารเหมือนเดิม ทาน chalupa ร้าน Taco Bell ไป พออ้อมให้ทานของอ้อมก็บอกอร่อย แล้วก็บ่นว่าทำไมตัวเองไม่สั่งบ้าง อ้อมก็คิดในใจว่านั่นดิ เดี๋ยวคราวหน้าสั่งให้ดีกว่า

หลังจากนี้ก็ขับยาวกลับมาถึงโรงแรมที่อินเดียน่าที่อยู่มาเดือนกว่าแล้ว ถึงประมาณสองทุ่มได้ เหนื่อยกันทั้งคู่เลย แต่ข่าวดีก็คืองานนี้ใกล้เสร็จแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด วันอาทิตย์นี้น่าจะกลับบ้านได้ ย้าฮู้!!!

Tuesday, April 4

My Husband = Kewpie

วันนี้ขอแซวสามีตัวเองหน่อย ตั้งแต่มาอยู่ที่อินเดียน่านี่ คริสปล่อยเนื้อปล่อยตัว หนวดเครารุงรังมาก ครั้งที่แล้วที่โพสต์รูปคริส ก็โดนหม่อมแม่ยายประกาศิตมาว่าให้โกนหนวดซะ ไม่อย่างนั้นจะส่งไปสู้กับโจรภาคใต้ คริสก็เลยโกนหนวดทันทีตามประสาลูกเขยตัวอย่าง แต่นั่นก็หลายอาทิตย์มาแล้วล่ะ หลังจากนั้นมาทั้งหนวดและผมก็งอกงามขึ้นมาเรื่อยๆ รูปข้างบนนี้ถ่ายมาสักอาทิตย์กว่าได้ หนวดเคราไม่เท่าไหร่แต่โปรดสังเกตผมข้างบนว่ามันแหลมๆ เหมือนเจ้าหนูคิวพี (ขาดแต่ปอยผมข้างหน้า) เห็นแล้วทนไม่ไหวเลยต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ น่ารักน่าหยิกเหลือเกิน สามีชั้น เจ้าหนูคิวพี

แต่เมื่อคืนคริสตัดผมและโกนหนวดไปเรียบร้อย กลับมาหัวเกรี๋ยนเหมือนเดิมแล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้ดูไม่ชินไปซะอีก ดูหัวเจ๊งเหม่งชอบกล แต่เกรี๋ยนๆดีกว่าผมยาวอ่ะ ผมพ่อคุณหนาและหยิกขอดมากๆ

ป.ล. โปรดสังเกตคางสองชั้นในรูปข้างบนด้วย ฮ่าฮ่า
ป.ล. อีกที ท้ากสิน ยอมเว้นวรรคแล้ว woohoo!!!

Monday, April 3

ไม่มีอะไรมากค่ะ

ช่วงนี้ไม่มีอะไรมาก เมื่อวานคริสไม่ได้ไปทำงานก็เลยไปทาน breakfast buffet กันที่ร้านใกล้ๆโรงแรมร้านเดิม ครั้งนี้ทานเกือบไม่ไหวแล้ว เพราะเลี่ยนมากๆ อิ่มไปถึงเย็นเลย เสร็จแล้วก็ไปซื้อกับข้าวที่ K-Mart ซื้อของสดไม่เยอะมาก แต่หนักไปทางผลไม้ กับพวกแฮมและชีสเอาไว้ทำแซนด์วิชให้คริสเอาไปทานตอนกลางวันเวลาไปทำงาน

นี่คือส้มที่ซื้อมาเมื่อวาน ส้มที่นี่เปลือกหนาๆ แบบส้มซันคิส คิดถึงคุณตาจัง อ้อมก็เอามาผ่าทานแบบคุณตาทานเลย เอาไว้ทานตอนเช้า เนื่องจากไม่ค่อยได้ทานผักช่วงนี้ก็เลยทานผลไม้แทน
นี่รูปสตอเบอรี่ลูกใหญ่ๆ (ในกล่องลูกข้างบนจะใหญ่เป็นพิเศษ ส่วนลูกข้างล่างก็ขนาดธรรมดาค่อนไปทางเล็ก ผักชีโปะหน้าล่อคนซื้อทุกที่ ไม่ว่าไทยหรือฝรั่ง) ซื้อมาสองปอนด์แน่ะ
เอาไว้ทานกับโยเกิร์ตรสช็อคโกแล็ต อันนี้เป็นแบบ whipped ก็คือมันจะเบาๆเหมือนช็อคโกแล็ตมูส ทานเปล่าๆอ้อมว่าหวานเกินไป แต่ทานกับสตอเบอรี่แล้วเข้ากันดี
นอกจากนี้อ้อมก็สิ้นคิดขี้เกียจทำอะไรทานเองตอนกลางวันแล้วก็เลยซื้อไก่ย่างมาหนึ่งตัว ตัวละ $4.99 เอง ราคาเท่าไก่ย่างที่เมืองไทยเลย อันนี้รส lemon pepper แต่ก็คงจืดๆ เดี๋ยวจะทานกับซอสศรีราชา
ที่ไม่น่าซื้อเลยแต่ก็ซื้อก็คือ cheese dip (หรือเรียกว่า con queso เป็นชีสเหลวๆ ของเม็กซิกัน) กับ chips ซื้อติดกันมาสองอาทิตย์แล้ว คริสชอบมากๆ อ้อมก็ชอบ แต่มันก็อ้วนชะมัด แถมกินแล้วเบรคแตก หยุดไม่ได้ เมื่อวานก็ทาน chips ไปครึ่งถุง(ใหญ่) กับ cheese dip อีกครึ่งกระปุก ก่อนทานข้าวเย็น คริสทานพิซซ่า ส่วนอ้อมทานหมูเปรี้ยวหวานที่เหลืออยู่ มาอุ่นทานอย่างนี้ไม่อร่อยเท่าไหร่เลยแหละ ทานไม่หมดแต่ก็ทิ้งไปแล้ว

เมื่อคืนวันเสาร์เวลาที่นี่เลื่อนขึ้นไปหนึ่งชั่วโมง (สำหรับ daylight saving) แปลว่าตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว สว่างเร็วขึ้นมืดช้าลง เปลี่ยนเวลาทีไรงงทุกทีว่ามันนับเวลาต่างจากเมืองไทยยังไง จากแต่ก่อนเวลา 8 โมงเช้าที่นี่ เท่ากับ 3 ทุ่มของวันเดียวกันที่เมืองไทย ซึ่งก็เท่ากับเมืองไทยเร็วกว่าที่นี่ 13 ชั่วโมง ตอนนี้ก็เป็น 12 ชั่วโมงแทน นับง่ายขึ้น คือ แปดโมงเช้าที่นี่เท่ากับสองทุ่มที่โน่น แต่ตอนนี้อ้อมอยู่ใน central time zone ถ้ากลับบ้านที่โอไฮโอก็จะเป็น eastern time zone ซึ่งเร็วกว่าที่นี่ 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเวลา 8 โมงเช้าที่โอไฮโอ ก็จะเท่ากับ....ทุ่มนึงที่เมืองไทย ใช่มั้ย งงดีมั้ยล่ะ

Saturday, April 1

คิดถึงฮาวายใจจะขาด

เมื่อวานดูหนังเรื่อง 50 First Dates ที่ Drew Barrymore กับ Adam Sandler แสดงนำ เนื้อเรื่องก็คือ Drew เป็นสาวที่สูญเสียความสามารถในการจำข้ามวัน คือตื่นขึ้นมาอีกวันนึงก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้แล้ว ส่วน Adam Sandler ก็เป็นชายหนุ่มที่มาชอบ Drew และก็ต้องทำให้ Drew ตกหลุมรักใหม่ทุกวัน หนังก็กุ๊กกิ๊กน่ารักดี เรื่องนี้ Adam Sandler ไม่บ้ามาก เพราะเป็น romantic comedy มากกว่า comedy อย่างเดียว ที่ติดใจก็คือเรื่องนี้ถ่ายที่ฮาวาย (อ้อมว่าคงด้วยความจำเป็น ไม่งั้นเนื้อเรื่องมันคงไม่ make sense ที่นางเอกตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วนึกว่าเป็นวันเดิมวันเดียวกันตลอด ถ้าเกิดที่อื่นคงต้องมีการเปลี่ยนฤดู แต่ที่ฮาวายอากาศค่อนข้างคงที่) จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้โชว์ความเป็นฮาวายในแบบที่คนทั่วๆไปเห็นมากเท่าไหร่ อ้อมหมายถึงตัวหนังไม่ได้เน้นที่หาดทราย ทะเล หรือ การโต้คลื่น ซึ่งเป็นภาพของฮาวายที่เราคุ้นตากันทั่วไป (ลองนึกถึงหนังอีกเรื่องที่เกี่ยวกับการแข่งขันโต้คลื่นของผู้หญิง จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว) แต่หนังเซ็ตที่บ้านเก่าๆ ร้านอาหารเก่าๆ และก็ถ่ายฉากทุ่งสับปะรดมากกว่าฉากทะเล ซึ่งก็ดีเหมือนกัน ดูแล้วก็ได้บรรยากาศของฮาวายในอีกแบบนึง หนังจบด้วยเพลงเมดเล่ย์ Somewhere over the Rainbow/What a Wonderful World ของ Brother Iz ฟังเพลงนี้ทีไรยิ่งคิดถึงฮาวายเข้าไปใหญ่ เป็นเพลงโปรดจริงๆ ใครที่อยากฟังคลิกที่ลิ้งค์นี้นะคะ แล้วคลิกที่ปุ่ม play (รูปลูกศร) หน้าชื่อเพลง ฟังแล้วหลับตานึกถึงทะเล เสียงคลื่นกระทบฝั่ง เฮ้อ

ช่วงนี้ทั้งสองสามีภรรยาดูอะไรเกี่ยวกับฮาวายจะต้องถอนหายใจหลายๆเฮือก มันชวนให้นึกถึงความหลังเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าจะย้อนไปโรแมนติกว่าเราพบกันครั้งแรกหรือรักกันที่นั่นหรืออะไรเทือกนั้นนะ แต่มันนึกไปถึงอากาศดีๆ แดดจ้าฟ้าใส ลมเย็นๆทุกวัน การได้ไปชายหาดทุกอาทิตย์หรือทุกวันก็ได้ถ้าอยากไป คริสก็จะอยาก bodyboard อ้อมก็จะนึกไปถึงการนอนอาบแดดริมชายหาด (ไม่กล้าลงทะเล คลื่นแรงเดี๋ยวบิกินี่หลุด :-P) นึกถึงอาหารเกาหลี barbecue beef กับเครื่องเคียงกิมจิ ฉับเฉ่ เต้าหู้ ทั้งหลาย ที่หาทานได้ง่ายมากๆ อาหารญี่ปุ่นอร่อยๆมากมายทั้งราเมนหรือไม่ก็ซูชิที่ราคาไม่แพงเลย (จนป่านนี้ซูชิที่อร่อยที่สุดที่เคยได้ทานก็ที่ฮาวายเนี่ยแหละ พ่อเพื่อน(วิเวียน)เป็นคนทำ ปลางี้ชิ้นเท่าฝ่ามือ) แล้วก็ยังมี chinatown ให้ซื้อกับข้าวราคาถูก ทุกอย่างมีหมด ที่ชอบที่สุดคือลูกพลับหวานกรอบ ราคาแสนถูกเมื่อเทียบกับบ้านเรา แล้วก็ก๋วยเตี๋ยวร้านมาลีในไชน่าทาวน์ เส้นเล็กแห้งยำรสเด็ด (รายการนี้ไม่มีในเมนูของเขาแต่ลองถามดู ปรากฏว่าเขาทำได้ จานละห้าเหรียญเท่านั้น แต่จานใหญ่เท่าจานเปล ป่านนี้คงขึ้นราคาแล้วล่ะ) นอกจากเรื่องของกินก็ยังคิดถึง Ala Moana Mall เป็นมอลล์เอ้าท์ดอร์ใหญ่มากๆ มี department store สี่ห้าง ทั้งร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ทุกอย่างจริงๆ เดินเพลินสุดๆ ถึงของจะแพงก็เถอะ ที่คิดถึงฮาวายที่สุดก็คือการเดินทางไปไหนมาไหน อ้อมว่า Honolulu เป็นทั้งเมืองใหญ่และเมืองเล็กในเวลาเดียวกัน เมืองใหญ่ก็เพราะว่ามันมีทุกอย่าง ทั้งที่เที่ยว พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร มหาวิทยาลัย แบบที่เมืองใหญ่ทั่วๆไปมี แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันเป็นเมืองเล็กเพราะทุกอย่างมันกระจุกรวมกันอยู่ มีจักรยานหนึ่งคันก็ไปได้ทุกที่แล้ว ถ้าไม่อยากขี่ก็นั่งรถเมล์เอา ไม่กี่ป้ายก็ถึงที่ๆอยากไป หรือถ้าขยันจริงๆก็เดินเอา อากาศดีๆอย่างนี้เดินได้ทั้งวันแหละ อยากอยู่เมืองแบบนี้อีกจริงๆ เพราะไม่ชอบขับรถเอาซะเลย อ้อ แล้วมีที่ไหนอีกมั้ยที่ใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น คีบรองเท้าแตะได้ทั้งปี ไปมันได้ทุกที่ตั้งแต่ห้องเรียนยันชายหาดแบบนี้

เคยคุยๆกับคริสเหมือนกันว่าน่าจะกลับไปเที่ยวฟื้นความหลังที่ฮาวายกันซักหน่อย หนีหนาวจากที่นี่ไปดูแข่งเซิรฟที่นั่นช่วงคริสต์มาส แต่พอเช็คราคาตั๋วแล้วก็ยอมแพ้ ราคาเดียวกันบินกลับเมืองไทยได้เลย โครงการก็เลยต้องพับไปก่อน เพราะว่าระหว่างฮาวายกับกลับเมืองไทยเลือกกลับเมืองไทยอยู่แล้ว ไปเที่ยวทะเลไทยสวยกว่าเยอะ (แต่อย่างว่าฮาวายก็มีดีหลายอย่างตามที่เขียนมาข้างบน)

Thursday, March 30

ช็อปปิ้ง(อีกรอบ) และ กับข้าว

เหมือนกับคริสรู้ว่าเราเพิ่งมาแอบบ่นเรื่องซื้อของในนี้ สองวันก่อนเขาก็เลยพาไป Outlet Mall อีกรอบ (ไปเพราะไม่รู้จะไปไหน เขาก็อยากพาเราออกไปข้างนอกบ้าง แต่ไม่ร้จะไปไหนได้แถวๆนี้) คราวนี้ได้รองเท้าบู้ตสีดำมาแทนคู่ที่ใส่อยู่ที่ถลอกปอกเปิก ซับในขาดไปแล้ว (อันนี้ซื้อด้วยความจำเป็นจริงๆ มีรองเท้าบู้ตอีกคู่ที่บ้านแต่มันเป็นส้นสูง ก็เลยอยากหาคู่ที่ไม่สูงไว้อีกคู่ คราวนี้ก็พอแล้ว) แถมราคาก็เหมาะมากคือถูกดี รองเท้าบู้ตสูงหนังแท้แบบนี้ปกติคู่ละเกินร้อยเหรียญ แต่คู่นี้ลดเหลือแค่ $29.99 เท่านั้น นอกจากรองเท้าบู้ตก็ไปได้พวกเสื้อยืดกับกางเกงยืดด้วย เป็นพวกเบสิก ใส่ได้นาน ลดราคาแล้วไม่แพงอีกเหมือนกัน ขอบอกก่อนว่าไม่ใช่ว่าเรื่องช็อปปิ้งนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับอ้อม ไม่ช็อปก็ได้ไม่เป็นไร อย่างที่บอกว่าแค่นี้ก็เกรงใจคริสเขาจะแย่อยู่แล้ว แต่คริสก็น่ารักมาก เขารู้ว่าเราเป็นยังไง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไว้ใจเราด้วยว่าเราไม่ได้บ้าซื้อของขนาดจะผลาญเงิน ที่อยากทำได้ก็คือหางานทำเองจะได้ช่วยกันเก็บเงินอีกแรง แต่ตอนนี้ก็รอกรีนการ์ดอยู่ แต่ถึงได้กรีนการ์ดแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ทำงานมั้ยอยู่ดี ถ้าคริสต้องเดินทางอย่างนี้อีกก็คงต้องมาด้วย ไม่อยากให้เขาไปอยู่อย่างนี้คนเดียวหรอก ต้องอยู่ด้วยกันอย่างนี้แหละ สบายใจกว่า

เรื่องช็อปปิ้งจบไป มาเรื่องทำกับข้าว เมื่อวานทำหมูทอดกระเทียมแบบใส่นมลงไปหมักด้วย ออกมาอร่อยเหาะ

ส่วนตอนเย็นทำหมูเปรี้ยวหวาน เมนูสุดโปรดของคริส เคยลองทำไปครั้งนึงโดยใช้ซอสผงแล้วมันไม่อร่อยเลย ซอสสำเร็จในขวดมันก็สีแดงๆดูน่ากลัว ก็เลยลองหาสูตรในเว็บเอา จนเจอสูตรที่มันไม่ยุ่งยากมาก ใช้เครื่องไม่เยอะ ออกมาอร่อยใช้ได้เลย หมูเปรี้ยวหวานแบบร้านจีนที่นี่ต้องทอดหมูกรอบๆไว้ก่อน แล้วค่อยทำซอส ไม่ใช่ผัดเปรี้ยวหวานที่ใส่ซอสมะเขือเทศเหมือนที่บ้านเรา คริสชอบจานนี้มาก เห็นเขาชอบทานกับข้าวที่เราทำเราก็ดีใจแอบปลื้มอยู่เล็กๆ (ไม่หรอก จริงๆยิ้มแก้มบานเลยแหละ) ความสุขของคนทำกับข้าวมันอยู่ตรงนี้นี่เอง

Tuesday, March 28

รำพึงรำพัน2

ขอทำตัวเป็นคนแก่ขี้บ่นอีกสักวัน วันนี้ว่าด้วยเรื่องช็อปปิ้ง กิจกรรมยามว่างที่ขาดไม่ได้ของสาวเมืองกรุง(เทพฯ)อย่างเรา ตั้งแต่มาอเมริกานี่มีเรื่องคับอกคับใจอีกเรื่องนอกจากเรื่องว่างจัดแล้วก็เรื่องช็อปปิ้งนี่แหละ ไอ้ไม่มีที่ให้ช็อปมากหรือของที่นี่แพงเนี่ยมันก็พอทำใจได้ จริงๆของจะแพงยังไง เราก็รอให้มันเซลส์ได้เสมอ ช็อปที่นี่ถือคติว่าไม่ลดไม่ซื้ออยู่แล้ว (ถ้าอยู่เมืองไทยก็คือถึงไม่ลดให้ก็ซื้ออยู่ดี ต่อไม่ค่อยจะได้มากอยู่แล้ว เพราะเวลาชอบของอะไรเนี่ย หน้ามันจะออก แม่ค้าจะจับไต๋ได้ว่าอีนี่ถึงไม่ลดให้มันก็ซื้อ) แต่เรื่องที่มันอึดอัดจริงๆเรื่องแรกก็คือการขาดรายได้ของตัวเอง จริงๆตอนแรกฝันไว้สวยหรูมากว่าจะมาใช้เงินคริส ไม่ต้องทำงานเอง แสนจะสบาย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ความรู้สึกผิดมันท่วมท้นทุกทีที่ไปซื้อของแฮะ มันอึดอัดคับข้องใจมากๆที่ต้องใช้เงินเขาซื้อของสำหรับตัวเองเท่านั้น ตอนแรกๆนั้นอึดอัดมากๆถึงขั้นร้องห่มร้องไห้ เพราะอยากได้ของแต่ก็ต้องตัดอกตัดใจด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่จำเป็น เสื้อผ้ารองเท้าก็ล้นตู้อยู่แล้วจะซื้ออะไรกันอีก โอกาสจะได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆก็ไม่มี งานไม่ได้ทำ แถมอยู่บ้านนอกขนาดนี้จะลุกขึ้นมาแต่งตัวเฉิดฉายก็ใช่ที่ ก็เลยรู้สึกอึดอัดอกกลัดหนองอยู่ข้างใน แถมบางครั้งคุณคริสยังล้อเล่น(แรงๆ)ว่าเขานั้นทำงานแสนหนัก (I'm busting my ass off working in the cold.) แต่เรามาใช้เงินอย่างนี้ โห มุขนี้กระตุกต่อมนํ้าตาแตกมาก ร้องไห้โฮกลางห้างเลย คุณสามีที่รักถึงกับตกใจเพราะไม่รู้ว่าเราก็คิดมากขนาดนั้น จริงๆเขาก็ล้อเล่นน่ะแหละ ถ้าเราอยากได้อะไรจริงๆ เขาก็ซื้อให้ และเราก็มีลิมิตอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ค่อยคับข้องใจเหมือนตอนมาใหม่ๆแล้วนะ เริ่มชินแล้วล่ะ คุณคริสก็เริ่มเหงื่อตกตามจ่ายบัตรเครดิตเราไป

เรื่องที่สองคือไม่มีเพื่อนช็อป จริงๆช็อปคนเดียวก็ได้ไม่หวั่นอยู่แล้ว ตอนอยู่เมืองไทยก็ช็อปคนเดียวประจำเพราะหยุดไม่ตรงกับชาวบ้านเขา แต่ตอนนี้ใบขับขี่ก็ยังไม่มี จะไปไหนทีก็รอแต่คริสพาไปเท่านั้น แล้วช็อปปิ้งกับผู้ชายมันสนุกที่ไหนล่ะ เดินเข้าห้างปุ๊บ พ่อคุณหาวก่อนเลย สายตาก็จะสอดส่ายหาแต่เก้าอี้นั่งรอ ไอ้เราอยากจะเดินนานๆ ลองโน่นลองนี่ตามประสา (ไม่ได้ซื้อ ได้ลองสนองตัณหาชั่วคราวก็ยังดี) หันมาเจอหน้าเหม็นบูดคุณผู้ชายเข้าก็เซ็งหมดอารมณ์ไป เออ กลับบ้านก็ได้ ฮันนี่ เห็นหน้ายูแล้วปวดท้อง หมดอารมณ์อย่างแรง เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เดินไปเถอะ ก็อยากเดินเหมือนดันแหละ แต่มันไม่สนุกซะแล้วนี่นา หรือจริงๆนี่เป็นแผนคริสให้เราไม่ใช้เงินมากก็ไม่รู้

สรุป อยู่ที่นี่ช็อปน้อยมากๆ ด้วยเหตุผลข้างต้น ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเก็บเงินสร้างบ้าน ตอนนี้ก็ฝึกนิสัยปล่อยวางไป เริ่มดีขึ้นแล้วล่ะ แต่เนี่ยไม่รู้ว่าไอ้ที่อ้วนขึ้นเนี่ยจะทำให้ต้องเสียตังค์มั้ย เพราะอาจจะใส่เสื้อผ้าหน้าร้อนที่อุตส่าห์ขนมาสองกระเป๋าครึ่งไม่ได้ คราวเนี้ยแหละ ยุ่งแน่ ต้องซื้อใหม่ยกตู้ ฮ่าฮ่า

Monday, March 27

รำพึงรำพัน1

เฮ้อ หมู่นี้ไม่ค่อยมีพลังงานเท่าไหร่ สงสัยช่วงป่วยจะนอนเยอะไปหน่อย ระดับ metabolism ของร่างกายตอนนี้คงตํ่าที่สุดตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกอืดๆเพลียๆตลอดเวลาอย่างนี้มาก่อนเลย พุงก็ป๊องป่อง เวลานั่งมันกองๆกันได้อ่ะ คิดดูละกัน ตัวหนาขึ้นจม ตอนนี้คงไม่มีใครถามแล้วล่ะว่าตับไตไส้พุงไปอยู่ที่ไหน มีที่เหลือเฟือเลย ไม่รู้อ้วนขึ้นมากี่กิโลแล้วตั้งแต่มาที่นี่ ไม่ได้ชั่งนํ้าหนักมานานมากด้วยความกลัว นอกจากพุงแล้ว ก็ออกหน้า หน้างี้กลมเชียว นึกถึงที่หยูเพื่อนรักเคยพูดไว้ว่า เวลาไอ้อ้อมอ้วนเนี่ย หน้าจะกลมๆแบนๆ เพราะแก้มมันพองขึ้นมาบดบังดั้งจมูก เออ ขอบใจนะเพื่อน ตอนนี้หน้าชั้นก็คงยังงั้นแหละ (นอกจากอ้วนออกหน้าก็มีออกต้นขา กับจั๊กกะแร้ด้วย ตอนผอมๆเนี่ยจั๊กกะแร้เฮี้ยวเหี่ยว ตอนนี้เต่งตึงเชียวแหละ อันนี้ชอบ ฮ่าฮ่า)

นอกจากมีเรื่องอ้วนให้รำพึงรำพันแล้วก็ยังมีเรื่องความว่างของตัวเอง แต่ละวันที่ตื่นขึ้นมาเนี่ย ทำไมมันว่างเปล่าอย่างนี้ก็ไม่รู้ มันเหมือนๆกันทุกวัน ตื่นขึ้นมา โทรหาแม่กับพ่อ ลงไปเอาเบเกิ้ลกับนํ้าส้มขึ้นมาทานเป็นอาหารเช้า (ซึ่งตอนนี้เบื่อๆๆๆๆเบเกิ้ลมากๆๆๆๆ แถมเมื่อเช้าไม่มีนํ้าส้มอีก เซ็งเลย) เช็คอีเมล์ อ่านข่าวออนไลน์ หลังจากนี้ก็ดูทีวีบ้าง อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่องตามราว กับข้าวก็เริ่มเบื่อแล้ว ไม่อยากทำ มันทำไม่สะดวก ช่วงหลังๆนี่ทำแล้วก็เหนื่อยและหงุดหงิด สองวันก่อนลองทำ oyako-don ข้าวหน้าไก่ใส่ไข่แบบญี่ปุ่น แหวะ ออกมาแหลกเกือบม่ายล่าย คงเป็นเพราะไม่คุ้นไม่เคยทานมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่ารสชาติมันควรจะเป็นยังไง รสที่ทำมันไม่ไปทางไหนเลยซักทาง อาทิตย์นี้ก็เลยไม่ได้ซื้อของสดมาทำกับข้าวแล้ว ทำของที่มีในตู้เย็นให้หมดก่อน แล้วก็สั่งพิซซ่ามาทานเอา ให้มันอ้วนหนักกว่าเดิมทั้งสามีภรรยา

ขอจบการรำพึงรำพันภาคแรกไว้เท่านี้ก่อนนะคะ เก็บไว้เขียนวันอื่นบ้าง เดี๋ยวจะไม่มีอะไรทำ

Saturday, March 25

David Copperfield

หลังจากป่วยมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ วันนี้เป็นวันแรกที่เพิ่งรู้สึกมีแรงพอจะมาอัพเดทบล็อกได้ จริงๆก็ไม่ได้เจ็บหนัก แค่เป็นไข้หวัดเจ็บคอธรรมดา แต่ดันไม่ได้เอายาแก้อักเสบติดตัวมาด้วย มันก็เลยหายช้า ตอนนี้ก็ยังมีไอๆอยู่บ้าง แต่ก็เกือบหายแล้วล่ะ

แต่ถึงสองสามีภรรยาจะป่วย เราก็ยังลากสังขารสะเงาะสะแงะ ไปดูมายากล David Copperfield มาเมื่อคืนวันพุธจนได้ ไปแบบหนาวๆร้อนๆไข้จะขึ้นดีไม่ขึ้นดีนั่นแหละ ตั๋วใบละตั้ง $50 พลาดได้ยังไง โชว์เริ่มสองทุ่มครึ่ง ก็ไปถึงก่อนสัก 15 นาทีได้ ได้ที่นั่งแถวแรกของชั้นลอยซึ่งไม่ดีเลยเพราะพอนั่งพิงเบาะแล้วมันจะมองไม่เห็นเวทีเพราะติดที่กั้นข้างหน้า ก็เลยต้องนั่งโน้มตัวไปข้างหน้าเอาคางวางบนที่กั้นนั่นแหละตลอดทั้งโชว์เลย แถมพลาดมากที่ไม่ได้เอากล้องไป เพราะนึกว่าเขาคงห้ามถ่ายรูปชัวร์ๆ ปรากฏว่าเขาห้ามแค่วิดีโอกับใช้แฟลชเท่านั้นแหละ ถ่ายธรรมดาได้ เลยอดเลย

ส่วนพวกโชว์ต่างๆก็จะมี ทำตัวทะลุแผ่นเหล็ก หายตัว อะไรประมาณนี้ อันนี้ก็เบสิกทั่วๆไป แต่ก็ชอบตรงที่ตัว David Copperfield เขาไม่เว่อร์แอ็คท่ามาก แต่งตัวก็ธรรมดาๆ แบบกางเกงดำเสื้อเชิ้ตทับเสื้อยืด แล้วก็มีอารมณ์ขันดี โจ๊กกับคนดูไปเรื่อยๆ

ไฮไลต์ของโชว์ก็มีอยู่สามช่วง อันแรกคือเรื่องเลขล็อตเตอรี่ของคุณปู่ของเขา เขาสุ่มเรียกคนดูมาสามคนให้บอกเลขมาคนละสองจำนวน สุดท้ายไอ้เลขที่คนดูเลือกนี่ก็ตรงกับเลขในล็อตเตอรี่สมมุติที่เขาเอาใส่กล่องไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเริ่มโชว์ (กล่องแขวนต่องแต่งล็อกกุญแจแน่นหนาอยู่ในอากาศตั้งแต่แรก) แถมตรงกับหมายเลขทะเบียนรถเก่าๆของคุณปู่ซะด้วย

ไฮไลท์ที่สองคือการเอาคนหายตัวไปโผล่ที่ชายหาดเมือง Perth ออสเตรเลีย ก็ทำเป็นเรื่องว่ามีชายหนุ่มที่ไม่ได้เจอพ่อมานานแล้วก็เลยจะพาไปหาพ่อที่นั่น ที่นี่เพื่อความน่าเชื่อถือว่าไม่ได้อัดวิดีโอเตี๊ยมไว้ก่อนก็ต้องมีหลักฐานจากที่นี่ไป David ก็เรียกคนดูขึ้นมาถายรูปโพลารอยด์หมู่ พร้อมเขียนชื่อ แล้วก็ให้อีกคนเขียนชื่อย่อตัวเองไว้ที่แขนของเขา เสร็จแล้วก็หายตัวไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้น ไปโผล่ที่ริมหาดในจอวีทีอาร์พร้อมกับโชว์รูปโพลารอยด์และแขนที่มีตัวย่อชื่อของคนดูอยู่ หู ไม่รู้ทำได้ไงเหมือนกัน เสร็จแล้วคุณ David ก็แว้บกลับมาโผล่ท่ามกลางคนดูพร้อมโปรยทรายที่กอบไว้ในมือมาจากชายหาด โห อลังการมาก

ส่วนไฮไลท์สุดท้ายก็คือทำไห้คนดูประมาณ 10 คนหายไปจากบนเวที แล้วก็จบโชว์ เสียดายมากที่นั่งอยู่ชั้นลอยเพราะไม่มีโอกาสได้โดนเลือกแน่ๆ บางตอนเขาก็สุ่มเอาโดยโยนฟริสบี้ บางตอนก็โยนลูกบอลลูกใหญ่ๆเอา มันมาไม่ถึงชั้นบนอ่ะ แต่ส่วนใหญ่ David จะเลือกแต่สาวๆขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับปล่อยมุขทะลึ่งๆเล็กน้อยพองาม

ถามว่าสนุกมั้ยก็สนุกดี จับผิดได้มั้ย จับไม่ได้เลย เนียนมาก คือเราก็รู้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้ยังไง จะบอกว่าเขาคงเตี๊ยมกันไว้ก่อนกับคนดูที่เขาเลือกก็ไม่ใช่ เพราะเคยไปอ่านบล็อกของคนที่โดนสุ่มเลือก เขาก็ไม่รู้มาก่อนจริงๆ ถึงว่าเขาถึงเรียกว่ามายากลเนอะ มันอยู่ที่การลวงตากับการลวงความคิดมากกว่า คุณ David เขาก็เรียกตัวเองว่า illusionist เหมาะดี ฟังดูเก๋กว่า magician

Tuesday, March 21

Happy Anniversary ka

ยังค่ะ ยังไม่หายไข้หรอก แต่ขอเขียนสุขสันต์วันครบรอบแต่งงานกับคู่สร้างคู่สมประจำหมู่บ้านบุญสูงก่อน พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันมา 35 ปีแล้วสินะคะ อยากบอกพ่อกับแม่ว่าพ่อและแม่เป็นแบบอย่างชีวิตคู่ให้อ้อมกับคริสเสมอมา ไม่มีวันไหนเลยที่อ้อมจะไม่นึกถึงพ่อกับแม่และความรักความผูกพันที่พ่อและแม่มีให้กัน อ้อมโชคดีจริงๆค่ะที่เกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่

รักและคิดถึงที่สุด

อ้อมและคริส

Monday, March 20

เปื่อยค่ะ

เฮ้อ ช่วงนี้เปื่อยกันทั้งสองคนสามีภรรยา เมื่อวันเสาร์คริสเริ่มเจ็บคอ วันอาทิตย์อ้อมเป็นด้วย พอมาวันนี้วันจันทร์ นอนอืดกันถึงเที่ยงทั้งคู่เลย ทั้งไอทั้งคัดจมูก คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงยังไม่หาย คืนวันพุธจะไปดู David Copperfield ด้วย ก็หวังว่าจะหายก่อน แต่ยังไงก็คงตะเกียกตะกายไปดูจนได้ ค่าตั๋วแพงอ่ะ แล้วจะมาอัพเดทบล็อกใหม่หลังจากหายแล้วค่ะ

Saturday, March 18

ขอบ่นสั้นๆ(มั้ง)

ฮือ ฮือ เอาอีกแล้ว เมื่อคืนโทรไปหาบริษัทเครดิตการ์ดเพราะไปรูดค่าดินเนอร์แล้วมันไม่รับ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เขาบอกว่าแอคเคานท์ไม่มีอะไรผิดปกติ เคลียร์เรื่องนี้ไปได้ หลังจากอธิบายอยู่สองรอบ แต่คนรับโทรศัพท์ไม่ใช่อเมริกันนะ แขกก็ไม่ใช่ ฟังไม่ออกเหมือนกันว่ามาจากไหน เราก็ฟังเขาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่อเมริกันเอ็กซ์เพรสเนี่ย outsourcinng ชัวร์ เคยโทรไปเป็นแขกอินตะระเดียรับ

เอ้า ไหนๆโทรไปแล้วก็ขอเปลี่ยนนามสกุลในการ์ดด้วยเลยละกัน แต่งมาก็นานแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนซักที (แต่บอกเขาว่าเพิ่งแต่ง เขาก็แสดงความยินดีด้วย เขินเหมือนกัน คริสบอกเพิ่งแต่งอะไร แต่ง(จดทะเบียน)มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกาแล้ว) เขาก็เลยโอนสายให้ น่าจะกลับมาที่อเมริกา คราวนี้คนรับสายเป็นอเมริกันชัวร์ เสียงชัดแจ๋ว เขาก็ถามว่านามสกุลใหม่เป็นอะไร ทำไมต้องเปลี่ยน พอบอกแต่งงาน เอ้า มีคองแกรตจูเลชั่นส์แสดงความยินดีอีกที (น่าให้รางวัลคัสตอมเมอร์เซอร์วิสดีเด่นกับบริษัทนี้มาก) ที่นี้ก็ต้องสะกดนามสกุลให้เขาฟัง "C-A-T-H-I-S" เอาอีกแล้ว ตรู ตัว H ออกเป็น เอช ไม่ใช่ เอทช์ อีกแล้ว พอพูดเสร็จก็รู้ตัวเลยว่าผิดอีกแล้ว คุณคริสก็หูผึ่งฟังเราอยู่ พอได้ยิน พ่อคุณก็ทำท่าพยักเพยิดแล้วว่าผิดอีกแล้วน้า เราก็แบบ เออเดี๋ยวฟังเขาทวนอีกทีละกัน พอเขาทวนมา "C-A-T like cat, right?" "Yes." "and then S-I-S?" อ๊ากกกก ไม่ใช่น้า ผิดจริงๆด้วย "No, H as in ham and then I-S" (ดันนึกไม่ออกอีกว่า H as in อะไร ก็เลยแฮมไปก่อน คริสคอยบอกบทอยู่ข้างหลังว่า Harry แต่ช้าไปแล้วง่ะ เฉิ่มมาก H as in ham แสดงถึงความเห็นแก่กินสุดๆ) แต่สรุปเขาก็เก็ตนะ (รึเปล่าหว่า) เดี๋ยวรอลุ้นดูการ์ดใบใหม่ที่จะมาละกัน ถ้าสะกดผิดก็ไม่น่าแปลกใจ ฮ่ะฮ่ะ

Friday, March 17

ข่าวสารบ้านเมือง

ตอนนี้การเมืองไทยร้อนระอุมาก อ้อมก็ตามข่าวอยู่ตลอดทางอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่ก็เปิดดูตามเว็บหนังสือพิมพ์ต่างๆ แต่มันมีความรู้สึกว่าได้รับข่าวที่ไม่เป็นกลางเท่าไหร่ ด้วยความที่รู้สึกว่ามันเป็นข่าวใหญ่ของประเทศ ก็เลยคิดว่าสำนักข่าวต่างชาติน่าจะสนใจบ้าง ก็เลยพยายามเปิดๆดูสถานีข่าวต่างๆที่นี่ เช่น Fox News, CNN (ที่นี่ไม่ใช่ CNN Asia เหมือนเมืองไทย), CNN Headlines News เผื่อจะมีข่าวเมืองไทยออกบ้าง จะได้เห็นภาพจริงๆ เนื้อข่าวแบบไม่มีอคติ (เหมือนสมัยพฤษภาทมิฬต้องดู CNN นั่นแหละ) ปรากฏว่าตามดูมาเป็นเวลานานก็ยังไม่เคยเห็นภาพข่าวเมืองไทยออกทีวีที่นี่ซักที ที่มากสุดเคยเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก็คือตัววิ่งเรื่องการประท้วงให้นายกฯลาออก ในช่อง Fox News ครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ

หลังจากนั้นก็เลยมาลองคิดๆดู เออ จริงๆช่องข่าวที่นี่เนี่ย มันมีแต่ข่าวในประเทศแฮะ ข่าวต่างประเทศที่ออกก็มีแต่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับอเมริกาทั้งนั้น เช่น ข่าวสงครามในอิรัก ข่าวนิวเคลียร์ของอิหร่าน เมื่อคืนก่อนเปิดช่องโน้นดูช่องนี้กับคริส ทีวีที่นี่มีตั้ง 70 กว่าช่อง ปรากฎว่าหาอะไรดูไม่ได้เลย ละครมีแต่ซีรี่ส์ฆาตกรรมทั้งนั้น ไม่งั้นก็ reality shows ทั้งหลาย ข่าวก็มีแต่ข่าวฆาตกรรม ข่าวด่วนก็ซํ้าๆกันมันอยู่ทุกชั่วโมงนั่นแหละ ทนไม่ไหวก็เลยบ่นกับคริสว่าทำไมมันไม่มีข่าวเมืองไทยหรือข่าวต่างประเทศบ้างเลย(วะ) คือเริ่มหงุดหงิดแล้วไงว่าทำไมอเมริกามันช่าง self-centered ขนาดนี้ โลกหมุนตามมันหรือไง เรื่องอื่นไม่สำคัญเลยเหรอ ข่าวที่เมืองไทยยังมีช่วงนึงเป็นข่าวต่างประเทศ แถมยังมีบทวิเคราะห์วิจารณ์ที่มีประโยชน์ แต่ที่นี่ไม่เลย ออกแต่เรื่องในประเทศล้วนๆ มีฆาตกรรมทีก็ออกข่าวมันอยู่นั่นแหละ มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้วบ้าง scrutinize สถานการณ์กันสุดๆอัพเดทมันทุกชั่วโมง คริสก็เห็นด้วย เขาบอกว่าอเมริกันเนี่ย self-absorbed ประมาณว่าโลกแคบ คนอเมริกันก็ถูกมองว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็จะไม่เป็นได้ไง ไม่ได้มีการนำเสนอเรื่องประเทศอื่นๆในโลกในทีวีเลยแบบเนี้ย แล้วคริสก็บอกว่านี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาเบื่ออเมริกา จนต้องออกไปแบ็กแพ็กที่ยุโรป ไปอยู่ญี่ปุ่น ไปเที่ยวทั่วเอเชีย เพราะว่าเขาอยากเห็นว่าที่อื่นในโลกมันเป็นยังไง (แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่นี่อยู่ดี แถมลากเรามาด้วยอีก)

ตอนนี้ก็ทำใจ เลิกตามดูข่าวที่นี่แล้ว ดูแต่ช่องทำกับข้าว (Food Network) ตกแต่งบ้าน (HGTV) ของเราต่อไป สบายใจดี ส่วนคริสก็ดูแต่กีฬาช่อง ESPN ไป ข่าวก็ดูเป็นบางช่วงเท่านั้น

Wednesday, March 15

ว่าด้วยเรื่องอาหารจิปาถะ

เฮ้อ หลังจากทำกับข้าวมานาน ควมคิดก็เริ่มตันแล้วล่ะ ก็มีกระทะไฟฟ้าใบเดียวตอนนี้จะทำอะไรมากก็ไม่ได้ (ขี้เกียจล้างบ่อยๆ ทำอาหารจานเดียว กระทะเดียวทั้งนั้น) ก็เลยทำแต่ของทอดๆผัดๆไปตามมีตามเกิด บางทีก็ขี้เกียจเหมือนกันเพราะมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ที่ให้หั่นผักหั่นเนื้อก็ไม่มี ต้องนั่งบนเตียงแล้วก็ใช้กล่องพลาสติกใส่ของใบใหญ่ๆเป็นทั้ง kitchen island และ dining table ฮ่ะฮ่ะ แต่ด้วยความงก เราก็ต้องทำกับข้าวต่อไป ไม่อย่างนั้นค่าอาหารแต่ละอาทิตย์คงบานปลาย อาหารเนี่ยเป็นสินค้าแปรรูปที่ทำกำไรได้เยอะจริงๆ ลองคิดดูว่าอย่าง spaghetti cabonara ที่ทำเนี่ย ต้นทุน $6-7 ทำทานกันสองคนได้ตั้ง 2 มื้อ ไปทานข้างนอกจานเดียวยังซื้อไม่ได้เลย ยิ่งถ้าทำกับข้าวแบบไทยๆเราเนี่ยยิ่งถูก ใช้แค่เนื้อสัตว์กับผักนิดๆหน่อยๆ ถ้ามีพวกซีอิ๊วเครื่องปรุงอะไรอยู่แล้วก็สบาย

ถ้าเวลาคิดอะไรไม่ออกก็ นี่เลย หมูก้อนกับผัดผัก(ดำๆ เพราะขี้เกียจล้างกระทะหลังทอดหมู กินดำๆอย่างนี้ ล่อมะเร็งดีนักแล)
หรูหน่อยก็มาม่าราดหน้าไก่ใส่หน่อไม้ (หาเส้นอื่นไม่ได้ อันนี้ง่ายสุดต้มเส้นในไมโครเวฟเลย ประหยัดการล้างกระทะไปได้หนึ่งรอบ)
อันนี้แบบเหลา พอร์คช็อปแบบกึ่งจีนกึ่งฝรั่ง ได้สูตรมาจากเว็บบอร์ด Uncle Sam Girl หน้านี้ อร่อยมาก เราก็ปรับสูตรนิดหน่อยแบบตามมีตามเกิด คุณคริสมีบ่นนิดหน่อยว่ามันติดกระดูก (สามีเราแทะกระดูกไม่เป็น และไม่ชอบอย่างแรง แทะได้แต่ขาไก่เท่านั้น ไม่รู้จักของดีซะเลย) อันนี้ทำทานเองตอนกลางวัน ยำไข่ดาว ได้พริกที่ร้านไทยมาเผ็ดโ-ตร แซ่บหลาย
อันนี้ Beef and Scallion Rolls สูตร มาจากเว็บบอร์ดเช่นกัน แต่ทำออกมาแล้วมันเหมือนขาดอะไรไปก็ไม่รู้ แถมเนื้อหนาไปหน่อย ไม่มีที่ทุบ
อันนี้ส่วนตัวมาก นํ้าปลาพริกมะนาวกระเทียม เนื่องจากทำกับข้าวรสอ่อนให้คริสทานได้ เพราะฉะนั้นเวลากินข้าวกับอะไรก็ใส่มันลงไปด้วย แก้โหยอาหารรสจัดๆ
จานนี้อินเตอร์ Beef Burrito ทำง่ายสุดๆ ของสำเร็จหมด คริสชอบมากๆ ประมาณว่าเธอทานได้ทุกคืน (จะว่าเขาทานง่ายก็ง่าย ทานยากก็ยาก แล้ววันหลังจะเล่าให้ฟังว่าคริสทานอะได้บ้าง ไม่ทานอะไรบ้าง แล้วจะรู้ว่าทำกับข้าวยากมาก)
แครกเกอร์กับ peanut butter และ ลูกพีช ดูดีนะ อันนี้ได้ไอเดียจากในทีวี ตอนแรกกะจะทานเป็นอาหารกลางวันไดเอ็ต แต่ไม่ไหว กลายเป็น snack แทน ทานข้าวอีกจานต่างหาก ฮ่ะฮ่ะ ตอนนี้ผลไม้หลากหลายเริ่มออกแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่งั้นมีแต่แอปเปิ้ล

Tuesday, March 14

On a very beautiful day

เมื่อวันเสาร์ อากาศดีมากๆ อุณหภูมิประมาณ 60 กว่าฟาเรนไฮต์ได้ (ประมาณ 10 กว่าเซลเซียส) แดดจ้า ลมแรง เป็นวันที่อุ่นที่สุดในรอบ 5-6 เดือนที่ผ่านมา เหมาะมากที่จะออกไปเดินเล่นช็อปปิ้ง หาอาหารอร่อยๆทานหลังจากอุดอู้อยู่แต่ในห้องเป็นเวลานาน บางทีวันนี้คริสอาจจะพาเราไปชิคาโก เดินเล่นบนถนนมิชิแกน แอเวอนู ดูของสวยๆงามๆ เข้าออกร้านค้าเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นนำ เช่น ดีเซล อาร์มานี่ เอ็กซ์เชนจ์ บานาน่ารีพับลิก ฯลฯ เข้าห้างดังๆหลากหลาย แถมท้ายด้วยการไปทานส้มตำไก่ย่างแซ่บๆที่ร้านไทย ...............................................................

"ฮันนี่ อีกสิบไมล์จะถึงเรสต์สต็อปแล้ว จะหยุดพักเข้าส้วมมั้ยจ๊ะ" เอ๋อ ว้อต อะไรนะ ฝันกลางวันสะดุดค่ะ "หยุดก็ได้ หิวแล้วด้วย" "งั้นทานเบอร์เกอร์คิงนะ" เอ่อ..."ไฟน์บายมี" เฮ้อ จากฝันว่าจะได้ทานอาหารไทยแท้ก็กลายมาเป็นว้อปเป้อร์จูเนียร์เลี่ยนๆไป ช็อปปิ้งน่ะเหรอ ฝันทั้งนั้น กำลังขับรถกลับบ้านต่างหาก ขับขึ้นขับลงไฮเวย์ I-80/90 เส้นนี้มาอย่างน้อยสิบรอบได้ แทบจะจำได้แล้วว่าเรสต์สต็อปอยู่ไมล์ไหน ขายอะไรบ้าง คริสต้องกลับไปลากคอมเพรสเซอร์อีกเครื่องมาจากบ้าน เนื่องจากเครื่องเก่าไฟไหม้ ก็ขับกลับไปบ้านแล้วขับกลับมาใหม่วันอาทิตย์ ทางเที่ยวนึงก็ประมาณ 350 ไมล์ ขับ 7 ชั่วโมงครึ่งได้ จากวันดีๆ ฟ้าใซ้ใส ก็เลยกลายเป็นวันธรรมดาๆบนไฮเวย์ไป -_-"

แถมรูปเมฆในวันนั้นหน่อย มีอยู่ช่วงนึงเมฆเป็นเส้นๆพาดข้ามฟ้า แปลกดีไม่เคยเห็นมาก่อน


ตอนนี้กลับมาอยู่โรงแรมเหมือนเดิมแล้ว กว่าจะได้กลับบ้านอีกทีอากาศก็คงอุ่นเข้าสปริงเต็มที่ ต้นไม้ใบไม้คงเริ่มผลิใบ........I can't wait for spring and summer to come!!

Friday, March 10

Lunch at Potbelly

สองวันที่ผ่านมาคริสไม่ได้ไปทำงานก็เลยไม่ได้อัพเดทบล็อก เพราะว่าให้คริสเขาใช้คอมพ์ แต่ก็ดีอย่างก็คือคริสพาออกไปข้างนอกตลอดเลย เมื่อวันพุธ ไปทานข้าวกลางวันที่ร้านไทยมา ชื่อร้าน Taste of Thailand อุตส่าห์หาร้านไทยในอินเดียน่าจนเจอ จริงๆร้านไทย (แท้ๆ) มีเยอะมากในชิคาโก แต่ขับไปไกลเกิน ก็เลยหาร้านแถวนี้ดีกว่า อ้อมทานผัดไทย คริสสั่งข้าวผัดหมู (เมนูไม่สร้างสรรค์ทั้งคู่ แต่อยากทานก๋วยเตี๋ยวอ่ะ) เจ้าของร้านเป็นสามีภรรยา สามีเป็นคนไทย ภรรยาเป็นอเมริกัน คนเสริฟกับกุ๊กนี่ไม่แน่ใจว่าคนลาวหรือไทยอีสาน ไม่ได้คุยกับเขามาก แต่สั่งอาหารเป็นภาษาไทยบอกเอารสไทยๆ ก็ได้มาเลย อร่อยดี ผัดไทยรสจัดใช้ได้ เผอิญลืมเอากล้องไปด้วยเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอ่ะ :-(

เข้าเรื่องตามหัวข้อดีกว่า เมื่อวาน วันพฤหัส ไม่รู้จะไปไหนดีก็เลยว่าไปมอลล์ดีกว่า ที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ที่เมือง Merrillville ห่างไปซักสิบกว่าไมล์ได้ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ ก็เลยเอาแจ็คเก็ตตัวใหม่มาใส่ โปรดสังเกตว่ากระจกของโรงแรมดีมาก ส่องมุมไหนก็ดูผอมเพรียวดีจริงๆ แต่ดูดีๆกางเกงที่เคยหลวมงี้ฟิตเปรี๊ยะเลย ขับรถไปมอลล์ก็จะผ่านทางแบบนี้เห็นได้ว่าดูเงียบเหงาและทรุดโทรมมาก แถบนี้มีแต่ผู้ใช้แรงงานอยู่ ค่าครองชีพไม่สูง แต่ก็จะไม่มีการพัฒนา ยิ่งถ้าเมือง Gary ที่คริสไปทำงานเนี่ยยิ่งน่ากลัวมากๆ (ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่อันตรายที่สุดของอเมริกา) รูปที่เห็นก็คือก่อนเข้าใจกลางเมือง Gary ทางไปมอลล์ต้องเลี้ยวก่อน ให้ไปเดินเล่นใน Gary นี่ไม่เอาเด็ดขาด คริสเลิกงานเสร็จก็ขับออกมาเลยเหมือนกัน ไม่มีแวะ ล็อกรถตลอดด้วย แต่ Merrillville ที่ไปเนี่ยผู้คนเยอะแยะ รถเยอะหน่อย เมืองนี้ไม่น่ากลัว และแถบที่ไปก็เป็นย่านธุรกิจมีแต่ศูนย์การค้า
จอดรถปุ๊บก็ไปหาข้าวกลางวันทานก่อน เล็งร้านนี้ไว้ ชื่อร้าน Potbelly ขายแซนด์วิชเป็นหลัก ประมาณฟาสต์ฟู้ด แต่ดีกว่าเยอะ เวลาสั่งก็บอกว่าจะเอาแซนด์วิชอะไรก่อน อ้อมสั่ง Meatball sandwich ส่วนคริสสั่ง Italian sandwich (ไม่สร้างสรรค์อีกแล้ว พ่อคุณเข้าร้านไหนก็สั่งแต่อิแทเลี่ยน) คนขายเขาก็จะใส่เครื่องตามที่เราออร์เดอร์ในขนมปัง แล้วก็วางบนรางปิ้งขนมปัง มันก็เลื่อนมาโผล่อีกด้านแบบร้อนๆ แล้วเราก็เลือกได้ว่าก็เลือกท็อปปิ้งพวกผักกับมายองเนสว่าใส่อะไรบ้าง ของคริสใส่หมด ของอ้อมมันมีซอส marinara อยู่แล้วก็เลยสั่งแค่ผักกาด หอมใหญ่ และ พริกดองแบบเผ็ด
อันนี้ meat ball sandwich ของอ้อม ของคริสถ่ายไม่ทัน พอนั่งโต๊ะปุ๊บพ่อคุณจ้วงก่อนเลย อร่อยมากๆเพราะมันอุ่นๆอยู่ ขนมปังก็กรอบดี พริกเผ็ดนิดๆ แก้เลี่ยนได้ดีมาก บรรยากาศในร้าน คนเยอะ อ้อมก็รีบๆถ่าย เขินนิดหน่อยเพราะกล้องใหญ่ ควักออกมาถ่ายมากๆก็ประหลาด สังเกตมุมขวาบนของรูป มีชายหนุ่มนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงบนเวทีด้วย เก๋ดี
ปิดท้ายด้วยรูปคริสยิ้มเผล่ อิ่มแล้วพร้อมไปเดินเล่นเสียตังค์ (ให้อ้อมช็อปปิ้ง) ที่มอลล์
หลังจากนี้ก็ไปเดินเล่นอยู่ซักชั่วโมงได้ อ้อมได้เสื้อแขนกุด หนึ่งตัวกับรองเท้าแตะหนึ่งคู่ ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ใส่ ยังไม่ค่อยอุ่นเท่าไหร่เล้ย จริงๆอยากได้กางเกงห้าส่วนแบบนี้ด้วยแต่มันยังไม่ลดราคา รอต่อไป ช็อปปิ้งที่นี่ ไม่ลดไม่ซื้อค่ะ คิดถึงจตุจักรบ้านเราจริงๆ

Tuesday, March 7

ภาษาปะกิด

ไม่ได้อัพเดทบล็อกมาสองสามวันแล้วเพราะไม่มีเรื่องอะไรให้เขียนมากมาย จะเขียนเรื่องอาหารอีกก็รู้สึกจะดูหมกมุ่นแต่เรื่องกินเกินไปนิด เหะเหะ ลองนั่งนึกๆดูว่ามีเรื่องอื่นให้เขียนมั้ยก็ได้เรื่องนี้ภาษาปะกิดของตัวเองนี่แหละ

ไม่รู้เป็นไงตั้งแต่มาที่นี่รู้สึกภาษาอังกฤษของตัวเองจะถดถอยไปเรื่อยๆ (ตรงข้ามกับทฤษฎีที่ว่ายิ่งใช้มากยิ่งดีขึ้น) วันที่ไปซื้อของที่ outlet มีร้านนึงคนขายเขาขอชื่อสกุลด้วย เราก็สะกดให้เขา Cathis แค-ธิส "ซี- เอย์-ที-เอชชชช-ไอ-เอสสสสส" (ใส่สำเนียงแบบปกติที่เราพูด) ปรากฏว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง!! ขอใหม่อีกรอบก็ยังไม่ได้ ตอนนี้เริ่มเสียเซลฟ์อย่างแรงแต่ก็ยังคิดว่าคนถามคงเป็นฝรั่งที่แบบพอเห็นคนเอเชียหน้าชิ้งๆ ก็คงคิดว่าสำเนียงฟังยากก็เลยฟังไม่ออกไปจริงๆ แต่คริสดูแล้วเห็นว่าถ้าจะไม่รอดแน่ก็เลยมาช่วยสะกดให้ พอเขาถามชื่อต้นคริสเลยบอกชื่อตัวเองไปซะ แบบไม่ต้องคิดเลยว่าจะสะกด"ปิยสุดา"ให้เขาฟัง จนร้านปิดก็คงไม่เสร็จแน่ๆ พอกลับมาถึงโรงแรม คุยกัน คริสก็บอกว่าเราออกเสียงไม่ชัดจริงๆ ฮ้า!!! จริงเหรอ เขาบอกว่าเราออกเสียงตัว H ผิด มันต้องออกว่า เอทช์ (กักลม
ก่อนออก"ชชชชชช") แต่เราออกเป็น เอ (ไม่กักลม) มันคล้ายกับตัว S เอส เกินไป อ้าว ซวยล่ะสิ สอนออกเสียงภาษาอังกฤษ English phonetics อยู่ตั้งสองสามปี ที่สอนลูกศิษย์ไปร่วมสองสามร้อยคนนั่นผิดเหรอ ขำกลิ้งเลย ลูกศิษย์ครูคนไหนอ่านอยู่ก็แก้ด้วยนะจ๊ะ (ถ้ายังจำที่ครูสอนได้นะ ตัว H ต้องออกเป็นเสียง ทีฮุ้ก ไม่ใช่ฮุ้ก ฮ่ะฮ่ะ)

นอกจากเรื่องนี้ก็มีอีกนิดๆหน่อยๆอ่ะ วันก่อนไปรับพัสดุไปรษณีย์ที่ Front Desk บอกเบอร์ห้องเขา 213 ทูเตอร์ทีน เขาบอกไม่มีนี่ อ้าวไม่มีได้ไงก็เมื่อกี้โทรมาที่ห้องบอกว่ามีให้มารับได้ ก็เลยต้องบอกเบอร์ห้องใหม่ ทูเตอร์ทีนนะ เขาถึงบอก อ๋อ ทูเตอร์ทีน ใช่ๆ นี่ไงพัสดุ เอ๊ะ แล้วเมื่อกี้ที่พูดไปเขาฟังเป็นอะไรหว่า เราว่าเราก็ stress ลงเสียงหนักที่ ทีน แล้วนะ เฮ้อ

คิดไปคิดมาก็สรุปๆได้ว่า

  1. ภาษาอังกฤษเราได้พัฒนามาถึงขั้นที่เขาเรียกว่า fossilzation ไปเรียบร้อยแล้ว คือไม่มีทางดีไปกว่านี้ได้แล้ว (อันนี้วิชาการนะ มันมีระดับนี้จริงๆ) แถมแก่แล้วด้วย ไม้แก่ดัดยากแล้ว
  2. เนื่องจากตอนนี้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอยู่แต่กับคุณคริสคนเดียว บางทีมันก็ขี้เกียจพูดให้มันดีๆ ภาษามันก็เลยถดถอย ไม่เหมือนสมัยตอนเรียนหนังสือที่ต้องทั้งอ่าน ทั้งเขียน ทั้งพูดหน้าห้อง ใช้เยอะสุดๆ ตอนนั้นภาษาพัฒนาพุ่งพรวดแบบก้าวกระโดด ตอนนี้มีแต่ถอยหลังถ้าไม่ระวัง

ตอนนี้พูดภาษาอังกฤษไปก็คอยสังเกตตัวเองไปว่าพูดผิดรึเปล่า (ตามประสานักภาษาศาสตร์เก่า) ก็พบว่าผิดเรื่อยๆเหมือนกัน บางทียังผันกริยาสามช่องผิดอยู่เลย เอิ๊ก บางทีคริสก็แก้นะ เวลาเราพูดผิด ส่วนใหญ่ก็ฟังเขา แต่บางครั้งเราก็เคืองนิดหน่อย ฉันกำลังจะพูดดีๆ อย่ามาแก้ได้มั้ย ไม่พูดก็ได้(โว้ย)

Saturday, March 4

Dinner in Valparaiso

เมื่อวานคริสกลับบ้านเร็วหน่อย กลับมาถึงก็งีบไปหนึ่งงีบ ก่อนหลับก็บอกว่าจะพาไปทานข้าวข้างนอก เราก็ไม่หวังมาก เห็นเขาเหนื่อยๆ ก็คิดว่าไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ เห็นเขาหลับไปก็คิดว่าคงไม่ไปแล้วล่ะ แต่คริสก็อุตส่าห์ตื่นขึ้นมา เราเห็นเขาดูเนื้อยเหนื่อยก็เลยบอกว่าไม่ต้องไปหรอก เหนื่อยก็พัก เขาก็บอกไปเหอะ เดี๋ยวไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็เลยเถียงกันอยู่แป๊บนึง ไอ้เราก็สงสารเขา เห็นเขาเหนื่อย ส่วนคริสก็สงสารเรา เห็นเราจับเจ่าอยู่แต่ในโรงแรมทุกวัน ก็เลยอยากพาเราออกไปข้างนอกบ้าง วันรุ่งขึ้นเขาคงทำงานถึงเย็นด้วย คงไม่ได้พาเราออกแหงๆ ก็เลยอยากพาไปวันนี้ สรุปก็เลยไปก็ไป ไปเมือง Valparaiso ที่เพิ่งไปมาอีกที จะได้ไปซื้อช็อคโกแล็ตอีกด้วย คริสใส่กางเกงยืดกับร้องเท้าแตะทับถุงเท้าอีกแล้วล่ะ แต่เราไม่อยากเจ้ากี้เจ้าการมากก็เลยเลยตามเลยไป

นี่คือรูป downtown ของเมือง รูปมืดไปหน่อย เพราะรีบถ่าย หนาวอ่ะ

อันนี้หน้าร้านช็อคโกแล็ต
รูปตู้ช็อคโกแล็ต น่ากินสุดๆ คราวนี้กวาดเกลี้ยงเลย เขามี truffles รสใหม่ๆออกมา ขี้เกียจเลือกก็เลยบอกว่าเอารสละสองลูก dark chocolate เท่านั้น ได้มาตั้ง 22 ลูก หมดไป $16 เอิ๊ก เพิ่งคิดได้ว่าลูกละตั้งเกือบเหรียญ แพงจัง -_-"
มีช็อคโกแล็ตที่ทำไว้เป็นของขวัญหรือไม่ก็ของชำร่วยด้วยด้วย น่ารักมากๆ
บรรยากาศในร้าน เป็นกิฟท์ช็อป ประกอบไปด้วยของแพงๆมากมาย ได้แต่ดูค่ะ ดีนะยังไม่มีบ้าน ไม่งั้นคงต้องเสียตังค์แน่ๆ
ซื้อช็อคโกแล็ตเสร็จก็ไปทานข้าวที่ร้านอิตาเลียนชื่อ Cafe Paradiso พอนั่งปุ๊บ เขาก็เอาขนมปังปิ้งกับนํ้ามันมะกอกใส่ชีสขูดมาให้จิ้มทานก่อนเลย อร่อยค่ะ อ้อมสั่ง wild mushroom lasagna ส่วนคริสสั่งของเดิมๆที่ชอบสั่ง (ไม่ผจญภัยซะเลย) คือ chicken parmigiana ก่อนจานหลักมาก็มีซุปกับสลัดมาเสิร์ฟก่อน

หลังทานซุปกับสลัดเสร็จ ก็รอจานหลักกันนานหน่อยมาแล้ว นี่ wild mushroom lasagna ของอ้อม อร่อยมากๆ ซอส rich หอมมันมาก ขนาดคริสไม่ชอบทานเห็ด ยังว่าอร่อย
chicken parmigiana ของคริส คือไก่ชุบแป้งทอด ราดซอสกับชีสแล้วเอาไปอบอีกนิดหน่อย ทานกับพาสต้า Angel's hair เส้นเล็ก ก็อร่อยอีกแหละ อาหารร้านนี้จานไม่ใหญ่มาก ทั้งอ้อมทั้งคริสทานกันหมด (ร้านอื่นทานไม่เคยหมด) ถ้าเทียบราคาและปริมาณอาหารกับร้านอาหารอิตาเลียนทั่วๆไปแล้วก็ถือว่าแพง แต่คุณภาพอาหารดีกว่า รสชาติก็กลมกล่อมกว่า (สรุปว่าร้านหรูดูเป็นผู้ดีกว่าร้านทั่วๆไปนิดนึง)

ปิดท้ายด้วยส่วนหนึ่งของช็อคโกแล็ตที่ซื้อมา อันนี้ใส่กล่องมาซะสวย เราบอกไม่ทันว่าใส่ถุงธรรมดาก็ได้ เดี๋ยวก็กินหมดแล้ว ฮ่าฮ่า

Thursday, March 2

ทำบุญ บริจาคผม

เมื่อวานดู Today Show ของช่อง NBC เขามีการตัดผมหมู่บริจาคผมให้มูลนิธิที่ทำวิกผมให้เด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ก็เลยคิดว่าตอนนี้ผมเริ่มยาวแล้ว จะตั้งใจเลี้ยงให้ยาวพอจะไปบริจาคได้ จริงๆเคยคิดจะทำบ้างแล้ว แต่พอตัดผมทีไรก็ตัดที่เมืองไทยทุกครั้ง ก็เลยลืมๆไป คราวนี้จะเอาจริงแล้วล่ะ

มีมูลนิธิที่รับบริจาคผมอยู่สองแห่งคือ Locks of Love กับ Wigs for Kids ลองเช็คดูแล้วเขาต้องการผมที่ยาวประมาณอย่างน้อย 10 นิ้ว ถ้าไม่ดัด ไม่ย้อมถาวรได้ก็ดี (ที่ Wigs for Kids ไม่เอาผมดัดหรือย้อมเลย) แต่ผมหงอกไม่เป็นไร หิหิ ตอนนี้ผมอ้อมยาวเลยบ่ามาประมาณ 6 นิ้วได้แล้ว กะว่าไว้อีกสักปีถึงปีครึ่งก็น่าจะยาวพอ

(ในข่าวที่ดู มีนักข่าวคนนึงเขาก็ตัดผมบริจาคด้วย แหม กรี๊ดกันใหญ่ว่ากล้าหาญ เสียสละมาก เวลาดูพวก makeover show ก็เหมือนกัน บางคนถึงกับร้องไห้ที่โดนตัดผมออกไปเพื่อให้ตัวเองดูสวยขึ้น ไม่เคยเข้าใจเลยซักครั้ง ว่ากะอีแค่ผมแค่นี้มันจะอะไรกันนักหนา ถ้ายังไม่ตาย มันก็งอกออกมาใหม่นั่น แหละ อ้อมก็กะว่าถ้าทำครั้งนี้ได้แล้วต่อไปก็จะเลี้ยงผมไว้บริจาคอีก ทำไปเรื่อยๆ น่าจะดี แต่ต้องบำรุงผมให้ดูดีหน่อย ฮ่าฮ่า ทั้งเส้นใหญ่ทั้งหยาบอย่างนี้ ไม่รู้เขาจะเอาไปใช้รึเปล่า)

Wednesday, March 1

Cabonara

เมื่อคืนทำ pasta จานเด็ด (my signature dish) ทานอีกแล้ว ทำทุกอาทิตย์เลยเพราะง่าย และคริสก็ชอบมากๆ แต่ข้อเสีย (ข้อใหญ่) ของเมนูนี้ก็คือ มันอ้วนมากๆๆๆ ทานบ่อยๆแบบนี้ไขมันจุกอกและขั้วหัวใจแหงๆ แต่ก็ยังทำค่ะ มันอร่อยนี่นา
จริงๆแล้วเมนูนี้ คริสเป็นคนทำให้ทานก่อน เมื่อนานมาแล้ว พอดูเขาทำเสร็จ เราก็ทำเองได้ (แต่จริงๆ ไม่น่าเลย น่าจะให้เขาทำให้ทานไปเรื่อยๆ)


ส่วนผสมก็มี

  • เส้นพาสต้า (อ้อมใช้ Fettuccine ครึ่งกล่อง จะใช้เส้น Spaghetti หรือ Penne ก็ได้ แต่ไม่ควรใช้เส้นที่บางกว่านี้)
  • เบคอน (อ้อมทำทานกันสองคนใช้หกเส้น เยอะหน่อย)
  • กระเทียม (ใช้สองกลีบใหญ่ เพราะชอบ)
  • Heavy whipping cream (ใช้ครึ่งนึงของกล่องที่เห็น)
    นมสด (ใช้เจือครีม ให้มันไม่หนักมาก ไม่ใช้ก็ได้ เพิ่มครีมเอา อ้วนดี)
  • Grated parmesan cheese (ประมาณกำมือใหญ่ๆ)
  • ไข่แดง สองฟอง
  • เกลือ พริกไทย ไว้ปรุงรส


ก่อนอื่นก็ตั้งนํ้าต้มเส้นรอไว้ก่อน


เสร็จแล้วก็เอาเบคอนเข้าเวฟ ไฟแรง (ทอดกับกระทะก็ได้ แต่เสียเวลา) ใช้เวลาประมาณ 1 นาทีต่อเส้น เสร็จแล้วก็เทนํ้ามันทิ้งไป สับกระเทียมรอไว้

ต่อไปก็ทำซอสโดยผสมครีม นม ชีส และไข่แดงในอ่างไว้ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ตีให้เข้ากันธรรมดา พักไว้ก่อน พอเส้นใกล้สุกก็เอาเบคอนลงกระทะ ผัดกับกระเทียม ให้พอได้กลิ่นกระเทียม ใส่เส้นที่สุกแล้วลงไปผัดพอเข้ากับเบคอน เสร็จแล้วก็เทซอสลงไปคลุก รอให้ซอสเดือด พอข้นขึ้นก็เสร็จแล้ว ตักใส่จานได้เลย ทานกับขนมปังอร่อยดี (เพิ่มแป้งเข้าไปอีก กลัวไม่อ้วน)

ที่เห็นในรูป อ้อมใส่ spinach เข้าไปเพิ่มด้วย ให้มันได้ไฟเบอร์กะสารอาหารอื่นหน่อยในมื้อนี้ ก็แค่สับๆ ใส่ลงไปผัดกับเบคอนให้พอสลดก่อนใส่เส้นกับซอสในกระทะ

* จริงๆ ไม่ต้องใส่ซอสในกระทะก็ได้ เอาเส้นกับเบคอนที่ผัดแล้ว ใส่ลงคลุกในอ่างซอสเลยก็ได้เหมือนกัน แต่ช่วงนี้มีไข้หวัดนก ก็กันเหนียวทำให้ไข่สุกก่อนทานดีกว่า นมที่ใส่ไปอาจจะทำให้ซอสเหลวไปด้วยถ้าไม่ตั้งไฟ

เมนูนี้ที่เมืองไทยขายแพง คริสสั่งมาทานทุกทีเวลาไปร้าน Pola Pola อ้อมว่าอ้อมทำอร่อยกว่านะ ของเขาไม่ทอดเบคอนก่อน เลี่ยนจะตาย