Saturday, September 22

Eating for two @ Thyme Restaurant

สืบเนื่องจากตอนเดิม หลังจากที่รู้แล้วว่าท้องตอนเย็นวันอังคาร ก็ไปทานดินเนอร์ฉลองวันเกิดอ้อมกันที่ร้าน Thyme อยู่ในเมือง Medina ขับรถไปจากบ้านก็ซักชม.นึงได้มั้ง ที่ไปร้านนี้เพราะแมรี่แอนเป็นเพื่อนกับแม่ของเชฟเจ้าของร้าน ทำนองว่าร้านออกแนวหรูๆหน่อย เช็คดูเมนูในอินเตอร์เน็ตแล้วก็น่าทานดี

จริงๆวันอาทิตย์ก่อนที่จะรู้ว่าท้องเนี่ย อ้อมวีนใส่คริสไปเรื่องไปทานข้าวฉลองวันเกิด คือคริสบอกว่าจะพาไปทานข้างฉลองกันสองคนคืนวันอาทิตย์เพราะวันจันทร์จะไปดูเบสบอล ปรากฏว่าวันอาทิตย์ พ่อคุณตื่นมาทำสำออย ป่วยเพลีย ปวดหัว ทั้งๆที่หวัดก็ไม่ได้เป็น แล้วก็ทำลืมไปเลยว่าจะพาอ้อมออกไปทานข้าว ไม่มีบอกอะไรทั้งนั้นว่า เออ วันนี้ไม่ค่อยสบายเดี๋ยวพาไปวันหลัง งานนี้อ้อมก็งอนสิคะ ร้องห่มร้องไห้ ทำตัว sensitive มาก สุดท้ายคริสก็เลยโทรไปจองโต๊ะสำหรับวันอังคารจนได้ ฮ่าๆ ตอนนี้มานึกๆดู ปกติตัวเองไม่ขี้ใจน้อยอย่างนั้นนะ สงสัยเพราะท้อง ฮ่าๆๆ

ต่อเรื่องกิน ไปถึงที่ร้านเร็วหน่อย ประมาณ 6 โมงเย็น ร้านไม่หรูเท่าที่คิดแต่ก็ดีเพราะไม่ได้แต่งหรูไปอยู่แล้ว นั่งปุ๊บก็สั่งเครื่องดื่มก่อน คริสสั่งกินเนส อ้อมขอน้ำเปล่า ฮือ ตอนสาวเสริฟเอาเบียร์มาเสิร์ฟคริส เธอถือมาเป็นขวดแล้วก็ถามว่าจะให้รินใส่แก้วมั้ย คริสก็บอกรินสิ คุณเธอก็คว่ำขวด 180 องศา เทเบียร์พรวดๆๆๆลงแก้ว อ้อมกับคริสมองด้วยความงงปนสยอง ตาค้างเลย แง้ เทอย่างนี้เสียเบียร์หมด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรหรอกค่ะ จากนั้นก็สั่งอาหารมาทานกัน มื้อนี้ไม่มีอั้น สั่งแหลก โดยเฉพาะอ้อมที่ถือว่าต้องทานเผื่อสอง ฮาาาาาาาาาาา

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
เริ่มจาก appetizer ก่อน อย่างแรกที่มาก่อนเลย ไม่ต้องสั่งก็คือซุปมะเขือเทศที่ทางร้านเสิร์ฟให้ทุกคนทุกโต๊ะ รสชาติเข้มข้นมากๆ หอมมะเขือเทศและกลิ่นก็ออก smoky จริงๆ เนยก้อนกลมๆที่เห็นนั่นมากับขนมปังที่หอมสุดๆ ลืมถามเขาว่าขนมปังใส่อะไร คิดว่าอาจจะเป็น lavender คริสเอาจิ้มทานกับซุปมันฝรั่งของตัวเอง โคตรอร่อย ส่วนอ้อมอยากทานผักก็เลยสั่งสลัดแอสพารากัส รู้สึกน้ำสลัดจะใส่ truffle ด้วย อร่อยอีกแหละ น้ำสลัดเข้มข้นแต่ไม่เค็มไม่หวานไม่เปรี้ยว มันมันๆดี

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
จานหลักของอ้อมเป็นปลาทอด มากับเกี๊ยวไส้ลอปสเตอร์กับครีมชีสสองตัว ส่วนใต้ปลาเป็นผักต่างๆ ปลาสดดีจริงๆ ไม่แห้งด้วย ปรุงรสมากำลังดี ทานได้เรื่อยๆ ส่วนเกี๊ยวทอดนั่นเหมือน crab rangoon ที่ทานตามร้านจีน แต่อร่อยกว่าเยอะนะ ส่วนจานหลักของคริสเป็นสเต้ก เสิร์ฟมากับทาร์ตหอมใหญ่กับบลูชีสและแครอทสามสี (ไม่รู้เห็นมั้ยในรูป มีสีส้ม สีเหลือง และสีขาว) อ้อมชิมทุกอย่างแล้ว อร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เนื้อก็นุ่ม หอม ซอสสุดยอดดดดดดดดด ส่วนทาร์ตก็หวานหอมใหญ่แต่ตัดรสด้วยความเค็มแบบเข้มข้นสุดๆของบลูชีส กินกันเรียบค่ะ

สุดท้ายก็ของหวาน

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ตอนแรกว่าจะสั่งอย่างเดียวเพราะจุกแล้ว แต่ถามไปถามมาเอามาสองอย่างละกัน แครมบรูเล กับช็อคโกแล็ตเค้ก อ้อมชอบช็อกโกแล็ตเค้กมากกว่าเพราะมันเข้มข้น เค้กยังเป็นซอสข้นๆอยู่ข้างใน ทานกับไอติมวานิลลาและซอสผลไม้รสเปรี้ยวๆ เลิศมาก (ตอนนี้ก็ยังฝันถึงอยู่) ส่วนแครมบรูเลก็อร่อยแบบแครมบรูเล หน้าเป็นน้ำตาลไหม้กรอบๆหอมๆ ตัวคัสตาร์ดไม่หวานจัด ทานกับผลไม้เปรี้ยวๆตัดรสหน่อย อร่อยมาก

สรุปว่ามื้อนี้กินกันเต็มที่ รวมระยะเวลาในการทานมื้อนี้สองชม.กว่า ฮาาาาาาาา ไม่เคยนั่งร้านอาหารที่ไหนนานเท่านี้มาก่อน อาหารก็ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงเลย appetizers กับของหวานนี่ไม่เกิน 5-7 เหรียญ ส่วนจานหลักก็แพงหน่อย มีตั้งแต่สิบกว่าไปจนถึงยี่สิบกว่าเหรียญ แต่อ้อมว่ายังไงก็ถูกกว่าไปทานอาหารระดับนี้ตามเมืองใหญ่ๆมาก ทานอาหารที่รู้ว่าพิถีพิถันปรุงรสมาแบบนี้ รสชาติเข้มข้น (concentrated) แบบนี้แล้วทำให้รู้ว่าร้านทั่วๆไปที่เคยทานมาอ่ะ คนละชั้นจริงๆ

Wednesday, September 19

Life can take unexpected turns sometimes.

ไม่รู้จะเกริ่นยังไงดี ช่วงนี้ชีวิตมีแต่เรื่องให้ตื่นเต้น

เริ่มมาจากตั้งแต่กลับจากคอสตาริก้า อ้อมกับคริสก็เริ่มร่อน CVs หางานกันอย่างจริงจังเพราะตอนนั้นแน่นอนแล้วว่าพ่อคริสจะขายบริษัทและคริสเองก็ไม่อยากรับช่วงต่อ ก็ได้เวลากลับมาหางานสอนภาษาอังกฤษทำกัน ตอนนั้นดูๆศึกษาข้อมูลไปเรื่อยก็เห็นว่างานที่จ่ายดีและสวัสดิการดีที่สุดจะมาจากแถบ Middle East เงินเดือนดีกว่าในอเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เกาหลี (เมืองไทยไม่ต้องไปเทียบ) แถมภาษีก็ไม่ต้องเสีย มีบ้านให้อยู่พร้อม เรียกว่าถ้าได้ทำงานที่นั่นก็เก็บตังค์กันแบบเนื้อๆ ก็เลยส่ง CVs ไปหลายๆมหาวิทยาลัยแถบนั้น ตอนแรกอ้อมก็ไม่อยากไปเท่าไหร่เพราะรู้ว่าเป็นผู้หญิงอยู่แถบนั้นลำบากแน่ๆ แต่สุดท้ายหลังจากลองเปรียบเทียบกับที่อื่นๆแล้ว แถบนั้นก็ดีกว่าจริงๆ แถมอย่างอ้อมไม่ใช่ native speaker ก็หางานสอนในเกาหลีไม่ได้ด้วย ก็เลยหยวนๆไป สมัครก็สมัคร ปรากฏว่าได้ตอบรับมาแน่นอนสองที่ ทั้งคู่อยู่ในซาอุดิอารเบีย ลองอ่านทบทวนข้อเสนอที่เขาให้มาแล้วก็ตกลงตอบรับไปกับสถาบันที่ดูดี ดู professional มากกว่า กะว่าจะไปทำที่ซาอุซักปีสองปีให้มีประสบการณ์การสอนในแถบนั้นแล้วค่อยหาทางย้ายไป UAE ที่น่าจะอยู่ง่ายกว่าเยอะ ตอนนั้นก็กะเต็มที่ว่าจะไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ แถมซาอุก็ใกล้ยุโรป ใกล้แอฟริกา ใกล้เมืองไทย ปีนึงได้หยุดร่วมสองเดือน คงเที่ยวกันเพลิน คึกคักกันมากๆ เลือดนักเดินทางเดือดพล่านกันทั้งคู่ เราจะเที่ยวให้ครบทุกทวีป จะไปดู World Cup ที่แอฟริกาใต้ จะไปยุโรป กลับบ้านได้ทุกปี ฮ่าๆ

พอเซ็นตอบรับ job offers ไปเสร็จก็เริ่มเดินเรื่องทำวีซ่า ส่วนหนึ่งของการขอวีซ่าก็ต้องไปตรวจร่างกายด้วย ในส่วนของอ้อมก็มีต้องทำ pregnancy test ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะปล่อยมานานแล้วก็ไม่เห็นท้องซักที คิดเอาเองว่าเราคงเป็นพวกท้องยากเพราะปจด.ไม่เคยมาตรงเวลาเลยซักครั้ง ที่ไหนได้อาทิตย์นึงผ่านไป เช้าวันจันทร์ที่ 17 วันเกิดตัวเองพอดี คุณพยาบาลโทรมาบอกว่า เอ่อ...สงสัยจะท้อง ให้มาตรวจเลือดเพิ่มด้วย เขาก็บอกแบบเกรงใจๆเรานิดหน่อยเพราะเขารู้ว่าเรามีแพลนจะไปซาอุ ก็คงคิดว่าเราไม่ได้อยากมี ตอนแรกอ้อมก็คริสก็อึ้งกันไปทั้งคู่ คือก็ดีใจ แต่ถามว่า timing มัน perfect มั้ย ก็ไม่ แต่วันนั้นอ้อมก็ยิ้มหน้าบานไปทั้งวันล่ะนะ โทรไปบอกแม่กับพ่อด้วย วันนั้นไม่ว่างไปที่โรงพยาบาล แถมเย็นนั้นก็ไปดูเบสบอลอีก แต่ได้แต่ดมเบียร์ ฮ่าๆ อดดื่มค่ะ ให้คริสดื่มแทนไป

พอวันอังคารก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลตอนบ่าย (ไม่ได้รีบร้อนเล้ย) แล้วก็โทรไปถามผลหลังจากนั้นสองชม. ตอนรอคุณพยาบาลหาผลให้ใจเต้นตุบตับๆรู้สึกว่ารอนานมากกกกกกกกกก สุดท้ายเขาก็บอกมาแบบเกรงใจๆอีกแหละว่า It's positive. อ้อมได้ยินเสียงเขาอ่อยๆ ก็บอกไปว่า เฮ้ย ไม่เป็นไร เขาก็ถามว่าแล้วยังจะไปซาอุอยู่รึเปล่า อ้อมก็บอกว่า We'll see. แล้วก็ขอบอกขอบใจเขาไป พยายามให้เขารู้ว่า เฮ้ย นี่ข่าวดีนะ เราดีใจจริงๆ หันไปบอกคริส คริสก็ดูมึนๆ อ้อมต้องบอกว่าโยนบุหรี่ทิ้งไปเดี๋ยวนี้แล้วมากอดเมียหน่อย ฮ่าๆ เย็นนั้นก็ไปทานดินเนอร์ฉลองวันเกิดกันเต็มคราบ ฉลองเรื่องท้องไปด้วยแบบงงๆ คริสบอกว่ายัง overwhelmed อยู่

แถมอีกนิด ที่ว่าแปลกก็คือ ก่อนหน้าที่จะตอบรับเรื่องงานไป ก็ลองปรึกษาหมอดูที่เมืองไทยดู หมอชื่อหมอพีร์ แพรว รุ่นน้องที่โรงเรียนที่เผอิญได้รู้จักกันออนไลน์แนะนำมา ปกติอ้อมไม่เคยดูดวงเพราะไม่ได้เชื่อเรื่องอย่างนี้เท่าไหร่ ดวงเราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับกรรมเรามากกว่า แต่พอได้อ่านข้อเขียนของหมอพีร์ก็รู้สึกว่าหมอพีร์ไม่ได้ดูดวงแบบงมงาย ก็เลยโทรไปปรึกษาหมอพีร์ดู

อย่างแรกที่ถามก็คือเรื่องงาน ถามว่าจะได้งานมั้ย หมอพีร์บอกว่าดวงเรื่องงานมีอยู่แล้ว อยู่ที่จะทำหรือไม่เท่านั้น ซึ่งก็ตรงเพราะตอนนั้นได้ job offers มาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบรับ จริงๆตอนนั้นมีอีกมหาวิทยาลัยที่คูเวตก็ติดต่อมาด้วยแล้วก็หายไป ก็เลยถามหมอพีร์ด้วยว่ามีโอกาสได้งานที่ึคูเวตมั้ยเพราะอยากไปทางนั้นมากกว่า หมอพีร์บอกว่ายาก ซึ่งก็จริงอีกเพราะส่งเอกสารไปเพิ่มทุกอย่างตามที่เขาขอมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่ได้อะไรตอบกลับมาอีกเลย

หลังจากนั้นก็ถามเรื่องทั่วๆไปอีก ไม่ได้ลงลึกมากแต่หมอพีร์บอกว่าดวงอ้อมเป็นดวงไกลบ้าน ไม่น่าจะได้กลับไปอยู่เมืองไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลับไม่ได้นะ ดวงของทั้งอ้อมและคริสเป็นดวงชีพจรลงเท้่า กว่าจะได้ลงหลักปักฐานที่ไหนก็อายุปาเข้าไป 36 โน่น และก็เนื่องจากว่าดวงไม่อยู่กับที่กับทางก็ต้องระวังเรื่องเก็บเงินเพราะจะมีค่าใช้จ่ายบ้ายเบี้ยรายทางเยอะ

อีกเรื่องที่ถามก็คือเรื่องลูก ถามว่าจะมีเมื่อไหร่ หมอพีร์บอกว่าดวงจะมีลูกตอนอายุ 32 ถ้ายังไม่อยากมีให้ป้องกันดีๆ อ้อมก็ถามอีกว่าถ้าไม่มีตอน 32 แล้วจะมีตอนไหน หมอพีร์ก็บอกว่าตอนอายุ 34 ก็โอเค ตอนนั้นก็กะว่า เออ เดี๋ยวปจด.มาเดือนกันยาแล้วเริ่มทานยาคุมอีกดีกว่า เพราะยังไงก็ยังไม่อยากมีลูกจนกว่าเรื่องงานเรื่องย้ายไปอยู่ซาอุจะลงตัว แถมยังอยากเที่ยวอีกสักปีสองปีด้วย ที่ไหนได้ โป๊ะเชะ ป๊อกช่าป๊อกมาก เช้าวันเกิดอายุครบ 32 ได่โทรศัพท์จากหมอพอดี ฮ่าๆ ดวงหนอดวง

ตอนแรกที่เก็บเรื่องซาอุไว้ไม่บอกใครมากก็เพราะยังไม่มีกำหนดไปที่แน่นอน อยากให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยประกาศ ตอนนั้นกะว่าถ้าจะเขียนในบล็อกก็กะจะจบโพสต์ด้วยคำคมของคุณ Anthony Bourdain เจ้าของรายการโปรด No Reservations ช่อง Travel Channel ว่า "A tourist doesn't know where he's been. A traveler doesn't know where he's going next." อ้อมกับคริสก็เป็น traveler ที่ยังรอการเดินทางเส้นทางใหม่อยู่ พอมาตอนนี้ไม่รู้จะจบบล็อกยังไงดี เอาเป็นว่าตอนนี้การเดินทางเส้นใหม่ก็ยังรออ้อมกับคริสอยู่แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่เราสองคนเท่านั้นที่จะไปด้วยกัน มีแถมมาอีกหนึ่ง(หรือสอง แม่กะลุ้นแฝดนี่นา)ด้วยค่ะ


ยาวเหลือเกิน แถมไม่มีรูป ฮ่ะๆ สรุปก็คือตอนนี้ท้องได้ไม่ถึงเดือนดี ดีที่ตรวจเจอเร็วขนาดนี้จะได้ดูแลตัวเองทัน ส่วนเรื่องแพลนไปซาอุก็ยังไม่ล้มเลิก เพียงแต่ต้องดูว่าทางนั้นเขาจะว่าไง อ้อมยังทำงานได้มั้ยถ้าท้อง กับสวัสดิการและโรงพยาบาลที่นั่นเป็นไงบ้าง ลุ้นต่อไปค่ะ

Tuesday, September 11

Lunch @ Shorty Bone'z

วันนี้แวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารใกล้ๆบ้านที่เพิ่งเปิดใหม่หมาดๆ ชื่อร้าน Shorty Bone'z เป็นร้านขายอาหารเมกันทั่วๆไป แต่มีชื่อ (หรือกำลังพยายามทำชื่อ)เรื่อง cheese steaks กับ barbecue ribs เคยสั่งมาทานกันที่บ้านแล้วรอบนึง อร่อยดี พ่อคริสว่าแพงไปหน่อย ฮ่าๆ แต่อ้อมกับคริสว่าก็โอเคแล้วเพราะใช้วัตถุดิบดีๆทำ ไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ดทั่วๆไป

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

บรรยากาศในร้านทำเป็นแบบ diner's เก่าๆ ร้านไม่ใหญ่มาก นั่งได้ไม่กีโต๊ะ อย่างมากก็ 30 คนเต็มที่ ตอนทีไปอ้อมกับคริสต้องนั่งที่บาร์ เพราะคนเต็ม เจ้าของร้านเป็นแฟนเบสบอล ใต้กระจกที่บาร์ก็แต่งด้วยคลิปข่าวทีมอินเดียนส์เก่าๆ กับ เบสบอลการ์ดเต็มเลย คริสนั่งรออาหารไปก็อ่านไป

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
คริสสั่ง The Kozmoz เป็นชีสสเต้กแซนด์วิช side dish เป็น macaroni and cheese อร่อยทั้งคู่เลย ชีสเยิ้มมมมมมมมมมมมมมม

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ส่วนอ้อมตอนแรกสั่ง bbq beef brisket sandwich ก็ดันหมด จะสั่ง bbq chicken wrap ก็หมดอีก ก็เลยสั่ง bbq rib wrap แทน (ที่ร้านนี้เขาเรียก wrap ว่า tornado) ด้วยความมุ่งมั่นอยากลองซอสบาร์บีคิวของเขามาก เห็นเขาว่าชนะ rib burnoff ที่ Canton มาแล้ว ส่วน side dish เป็น coleslaw ก็ใช้ได้ แต่ตัวซอสบาร์บีคิวหวานไปนิด แต่หอมแบบ smoky ดี

อิ่มกันแบบสบายพุง ค่าเสียหายรวมน้ำอัดลมหนึ่งแก้วของคริสและทิปแล้ว $20 พอดีเป๊ะ ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงนะ

Saturday, September 8

รีวิวเครื่องบำรุงผิวทั้งหลายค่ะ (ตอนที่ 2)

มาต่อด้วยครีมหรือโลชั่นทั้งหลายค่ะ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


จากหน้าไปหลังนะคะ

Olay Regenerist Deep Hydration Renerating Cream: ครีมทาหน้าให้ความชุ่มชื้นกับผิว เนื่้อครีมเป็นสีส้มอ่อนๆ กลิ่นหอมพอดีๆ ไม่แรงมาก อ้อมรับได้ (เคยลองใช้ครีมของลังโคมแล้วไม่ชอบเลยเพราะกลิ่นแรงเกิน แต่ครีมนี้กลิ่นโอเค)ทาแล้วผิวลื่นๆเนียนๆ ไม่ค่อยซึมเข้าผิวเท่าไหร่แต่ก็ไม่มันแผลบ หน้าออกขาวๆนิดๆหลังทาด้วย คิดว่าน่าจะใช้เป็นเบสก่อนแต่งหน้าได้เลย แต่อ้อมไม่ได้ใช้นะเพราะปกติทากันแดดด้วยหน้าก็มันพอแล้ว สรุปว่าครีมนี้ใช้ดีใช้ได้เลย แต่ตอนนี้หน้าร้อน ไม่รู้ว่าหน้าหนาวจะเอาผิวแห้งๆอยู่มั้ย อ้อ ชอบขวดมันมาก เพราะเป็นสูญญากาศ กดด้านบนแล้วเนื้อครีมถึงจะออกมาจากรูเล็กๆ รู้สึกมันสะอาดดี

Burt's Bee Repair Serum: เป็นน้ำมันบำรุงผิว ส่วนผสมหลักคือ rosehip seed oil ที่เขาว่าช่วยกันเหี่ยวได้ดี กลิ่นออกตุๆแก่ๆหน่อย (ได้กลิ่นทีไรนึกถึงคุณยาย ไม่รู้ทำไม) ใช้ทารอบดวงตากับริมฝีปาก อ้อมก็ใช้ทาทั้งตาและปากโดยใช้นิ้วนางแปะๆนวดๆอย่างที่เขาแนะนำข้างขวด เพิ่งใช้ได้ไม่ถึงอาทิตย์ ก็ให้ความชุ่มชื้นรอบดวงตาดี ซึมยากหน่อยเพราะมันเป็นน้ำมัน แต่ก็ไม่มันเยิ้มนะ ตื่นเช้ามาก็หายไปหมดแล้ว ทาปากก็ซึมเร็วดี แต่ทามากไม่ได้เพราะกลิ่นมันแรง ทาเสร็จไปกินน้ำจะแหวะมาก

Juice Organics Brightening Serum: ซีรั่มทาหน้าก่อนลงครีมหรือโลชั่น เนื้อเป็นโลชั่นสีขาวๆเหลืองๆ ไม่ข้นมาก เวลาทาเขาบอกให้วอร์มกับมือก่อน ทาแล้วจะตึงๆหน้านิดนึง ออกเหนียวๆหน่อย แต่ไม่มันแน่ๆค่ะ ขวดเป็นปั๊มสูญญากาศ แต่บางทีกดแล้วมันกระจายเลอะเทอะไปหน่อย ตัวนี้ใช้ตอนเข้าไม่ได้เพราะทาก่อนทากันแดดแล้วมันทำให้กันแดดเป็นขุย

ทั้งสามตัวนี้คือตัวที่่ใช้เป็นประจำทุกคืนตอนนี้ ก็เรียกว่าชอบพอสมควร ล้างหน้าเสร็จ เช็ดโทนเนอร์แล้วก็ลงซีรั่มของ Juice Organics แล้วทา Burt Bee's Repair Serum รอบตา แล้วก็ปากซักนิด พอซีรั่มที่ลงทั้งหน้าพอแห้งหน่อยก็ลงครีมของ Olay ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่หลังจากที่กลับจากคอสตาริก้าแบบหน้าเยินๆ ดำๆ มีสิวที่หน้าผากพอเริ่มใช้ทั้งซีรั่มและครีมได้ไม่นาน หน้าก็หายดำๆด่างๆและสิวที่หน้าผากก็หายไป ใช้ไปได้สักพักเหมือนรอยย่นที่หน้าผากขีดที่ยังไม่ลึกมากจะจางลงไปนิดนึง แต่ขีดที่ชัดๆก็ยังอยู่นะ ส่วน Burt Bee's Serum นี่ไม่รู้มันช่วยเรื่องรอยย่นใต้ตาได้จริงมั้ย เพราะเพิ่งเริ่มใช้ บางคืนก็ลืมอีกต่างหาก แต่ไม่หวังมากเพราะคงไม่มีครีมตัวไหนเป็นครีมมหัศจรรย์ทำให้รอยย่นหายไปได้ง่ายๆหรอก รอยตีนกานี่ไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้เอาแค่ไม่ให้มันขึ้นมามากกว่าที่จำเป็นก็พอแล้ว

ตัวถัดๆมานี่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ใช้แล้วค่ะ

bareVitamins Skin Rev-er Upper: ตัวนี้มากับเซ็ตรองพื้นของ Bare Escentuals ซื้อมาตั้งแต่ไปเที่ยวฮาวายปีที่แล้ว ใช้มาเป็นปียังไม่หมดซักทีทั้งโลชั่นทั้งแป้งรองพื้นที่มาด้วยกัน เป็นโลชั่นเนื้อเหลวๆหน่อย เขาว่าให้ทาเตรียมหน้าก่อนลงแป้งได้ กลิ่นเหมือนกาวเพราะไม่มีน้ำหอม มีช่วงนึงอ้อมเอามาใช้เป็น night cream เดี่ยวๆ คิดผิดมาก เพราะมันทำให้หน้าแห้งจาก Salicylic acid ไม่ให้ความชุ่มชื้นเพียงพอเลย หน้าลอกเป็นขุยซะ เลิกเลย เอามาใช้ทาก่อนแต่งหน้าเวลาไม่ลืมเท่านั้นแหละ มันช่วยให้หน้าเนียนขึ้นนิดนึง นิดเดียวจริงๆ ถ้ามันไม่แถมมาก็คงไม่ซื้อมาใช้เองเด็ดขาด

Biopur Melting Moisturizing Matifying Fluid for Combination/Oily Skin: ของ Biotherm โลชั่นสำหรับคนผิวมัน เนื้อเหลวๆ ถึงจะเหมาะกับผิวมันแต่ก็ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้พอประมาณ แต่ไม่ชอบเท่าไหร่เพราะเหมือนมันมีแอลกอฮอล จริงๆตอนที่ซื้อตัวนี้กะซื้อตัวที่มีกันแดด(SPF 15) ที่เคยใช้ดีตอนอยู่เมืองไทย แต่ดันหยิบผิด ไปถึงร้านก็หยิบไปจ่ายตังค์เลย คริสก็ถามว่าแน่ใจเหรอว่าใช่ อ้อมก็บอกชัวร์ จำขวดได้ (คือไม่ได้อ่าน) พอเอากลับมาที่บ้าน อ้าว ซื้อผิด แต่ไม่อยากบอกคริสเพราะกลัวเสียฟอร์ม เลยเลยตามเลย ฮ่าๆ ใช้ไปแค่ครึ่งเดียวเอง ซื้อมาเกินปีแล้ว

SK-II Facial Treatment Essence: Miracle Water สุดแสนโด่งดังที่เมืองไทย ขวดนี้เป็นขวดที่สอง แม่ทุ่มทุนซื้อให้ตอนกลับเมืองไทยอีกเช่นกัน เป็นน้ำใสๆ เอามาแปะๆหน้าหลังจากล้างหน้าเสร็จ กลิ่นแหม่งๆหน่อยแต่อ้อมชอบ ขวดแรกที่ใช้ตอนอยู่เมืองไทยเห็นผลสุดๆ หน้าใสเนียนกิ๊กอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีขนาดคนทักว่าไปทำอะไรมา แต่พอใช้หมด หน้าก็ยังดีอยู่นะ ไม่ได้ใช้อยู่ครึ่งปีก็หน้ายังโอเค มีแต่กระที่ขึ้นเอาๆเพราะตากแดดเยอะ พอกลับเมืองไทยก็ซื้อมาใช้ต่อ แต่คราวนี้มันไม่ได้ช่วยมากเหมือนแต่ก่อนแล้วแฮะ ไม่เห็นผลเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เลยหยุดใช้ทั้งเช้าทั้งเย็น ใช้แค่ตอนเช้าอย่างเดียวเพราะเปลือง ของมันแพง

ตอนนี้คิดไปคิดมา ตอนที่อยู่เมืองไทย ใช้แล้วหน้าใสคงเพราะปัจจัยอื่นๆช่วยด้วย เช่น อาหารการกิน ที่ทานดีสุดๆ ทานผักผลไม้อย่างเยอะทุกๆวัน แถมแต่งหน้าทาแป้งไปทำงานเกือบทุกวัน หน้ามันได้ protectionจากแดด อยู่แล้วก็เลยขาวขึ้น ใสขึ้น ตอนนี้อยู่ที่อเมริกา แดดก็แรง หน้าก็ไม่ค่อยได้แต่ง ที่สำคัญกินแต่ของมันๆ ทานผักผลไม้น้อยลงไปมาก ผิวมันจะไปสวยได้ยังไงเนอะ

สุดท้ายแล้วค่ะ ครีมกันแดด ขาดไม่ได้เด็ดขาด

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


Olay Complete All Day Moisture Lotion SPF 15 (Sensitive): ผิวอ้อมไม่ sensitive หรอก ถึกมากๆ แต่ใช้ของผิวแพ้ง่ายเพราะมันไม่มีน้ำหอม เนื้อโลชั่นสีขาว เหลวๆ กันแดดได้ครบทั้ง UVA และ UVB ทาแล้ววอกนิดๆ หน้าจะมันหน่อย แต่ไม่เป็นไรสำหรับอ้อม รอแห้งนิดก็ลงแป้งรองพื้นได้เลย ขวดนี้ใช้เป็นขวดที่สองแล้ว ก็เรียกว่าใช้ได้สำหรับราคาที่ไม่แพง แต่คงไม่ซื้อแล้วเพราะค่า SPF มันต่ำไปหน่อย และทาแล้วหน้าวอกเล็กน้อย

Aveeno Sunblock Lotion SPF 55: ชื่อเป็นโลชั่นแต่เนื้อเหนียวเกือบเป็นครีม กลิ่นดีไม่เป็นครีมกันแดดมาก (ครีมกันแดดบางตัวทาแล้วจะนึกว่าจะไปว่ายน้ำทุกที) ทาแล้วหน้าวอกสุดๆ (ก็มันกันแดดได้นานนี่นะ) อ้อมแก้วอกโดยการผสมแป้งฝุ่น mineral foundation ลงไปปรับสีหน่อย ก็ดีขึ้น ดีตรงที่ไม่ทำให้หน้ามันมาก ประสิทธิภาพกันแดดใช้ได้ ล้างยากเพราะกันน้ำ ต้องใช้ oil นวดออก ราคาไม่แพงค่ะ

ตอนนี้ตอนเช้า อ้อมล้างหน้าเสร็จ (ด้วยน้ำเปล่า)ก็จะใช้ SK-II Essnce แปะๆหน้า พอแห้งก็ลงกันแดด ด้วยความงกและขี้เกียจก็เลยใช้แค่ของ Olay ทุกวัน ซึ่่งมันกันแดดได้ไม่นาน หน้าก็เลยอุดมไปด้วยกระ ส่วนของ Aveeno นี่ใช้ตอนต้องออกไปทำสวนกลางแจ้งแรงๆเท่านั้นทั้งๆที่จริงๆควรจะใช้ทุกวันเพราะแดดที่นี่แรงมาก

สุดท้ายแถมครีมกันแดดที่ตัวให้หน่อย

Banana Boat Sun Wear SPF 50: ชอบมากๆ ซึมเร็วไม่ทิ้งคราบขาว กลิ่นหอม กลิ่นไม่เหมือนครีมกันแดดทั่วๆไปอีกล่ะ เลยชอบ

หมดแล้วค่า

สรุปว่าตอนนี้ที่ใช้ประจำก็คือ

เช้า: ล้างหน้าด้วย Cetaphil (ถ้าไม่ขี้เกียจ ปกติล้างน้ำเปล่า)--> แปะ SK-II Essence --> ทา Olay หรือ Aveeno Sunscreen
ก่อนนอน: นวดหน้าด้วย jojoba oil (ถ้าแต่งหน้าหรือใช้ Aveeno Sunscreen)--> ล้างหน้าด้วย Neutrogena cleanser --> เช็ด C.O. Bigelow Cucumber หรือ SK-II toner กับสำลี(ถ้าไม่ลืม)--> ทา Juice Organics Serum --> ทา Burt Bee's Serum รอบตา --> ทา Olay Regenerist Cream

แค่นี้ก็รู้สึกใช้เวลาในห้องน้ำนานแล้วเนอะ ไม่ได้พอใจทุกตัวที่ใช้นะคะ แต่ใช้ต่อไปเพราะซื้อมาแล้ว ไม่อยากซื้อเพิ่มก่อนของเก่าหมด ที่อยากได้อีกก็มีอีกหลายตัวอยู่แต่รอต่อไป ใช้พวกนี้ให้หมดก่อนเท่านั้น!

Thursday, September 6

รีวิวเครื่องบำรุงผิวทั้งหลายค่ะ (ตอนที่ 1)

เนื่องจากไปเกาะติดห้องโต๊ะเครื่องแป้งของพันทิปมานานแล้ว อ่านรีวิวเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวทั้งหลายที่เขาเขียนๆกันให้น้ำลายไหลยืดเกิดอารมณ์อยากได้ไปหลายรอบ แต่ด้วยความที่ยังระงับตัวเองได้อยู่ก็เลยไม่ได้บ้าซื้อตามเขาเท่าไหร่ ไอ้ที่ซื้อก็หาซื้อที่ไม่แพงมาก วันนี้ว่างๆเอาจับมารวมๆเขียนถึงดีกว่า

อ้อมผิวผสม มันช่วง T-zone แต่แก้มก็ไม่แห้งนะ รูขุมขนใหญ่ ผิวไม่เคยละเอียดและใสเลย อย่างมากก็เนียนไม่มีสิว แต่ตอนนี้ไปแพ้อะไรมาก็ไม่รู้ สิวกระหน่ำตรงช่วงกรามซ้าย ส่วนกรามขวามีนิดหน่อย กับแก้มข้างซ้ายอุดมไปด้วยสิวอุดตัน เยินมากๆ คาดว่าตัวการที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่นนี้คือผมของเราเอง เพิ่งไปตัดผมบ็อบเทมา ผมหยาบๆของเราเองคงระแก้มและคางจนสิวบุก

เริ่มจากขวดนี้ใช้เช็ดมาสคาร่าก่อนละกัน

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


Boots Botanics Soothing Eye Makeup Remover: เช็ดมาสคาร่ากันน้ำออกง่ายใช้ได้ อ่อนโยน ใช้ดีเหมือนกันค่ะ ราคาไม่แพง

แล้วก็ครีมล้างหน้าทั้งหลาย

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


ไล่จากหน้าไปหลัง

DHC Deep Cleansing Oil: ซื้อขนาดทดลองมาจากเมืองไทย นวดหน้าล้างเครื่องสำอางออกหมดจดดีมากๆค่ะ สิวเสี้ยนก็หลุดออกมาด้วย สะใจมาก เสียอย่างเดียว เหนียวไปหน่อย นวดแล้วฝืด แต่พอนวดไปสักพักเอาน้ำพรมหน่อยก็กลายเป็นโลชั่นน้ำนมนวดต่อสบายๆ กลิ่นออกเขียวๆหน่อยเพราะเป็นน้ำมันมะกอก แต่อ้อมไม่รังเกียจเพราะไม่ชอบใช้ของมีน้ำหอมอยู่แล้ว ในรูปที่เห็นนี่จริงๆไม่ใช่น้ำมันดั้งเดิมของมันนะคะ ใช้หมดไปแล้วเลยเอาขวดมาล้างใส่น้ำมัน jojoba oil ต่อ ของจริงสีน้ำมันจะออกเขียวกว่านี้

Dessert Essence Organic Jojoba Oil: อันนี้ก็ซื้อตามกระแสห้องโต๊ะเครื่องแป้งอีกเช่นกัน เป็นน้ำมันสารพัดประโยชน์ ใช้ล้างเครื่องสำอางได้ หมักผมได้ ทาตัวทาหน้าก็ได้ อ้อมเอามาใช้ล้างเครื่องสำอาง ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันมันเกิน ล้างน้ำแล้วก็ยังมันแผลบอยู่ แถมนวดสิวเสี้ยนออกได้ไม่ดีเท่าของ DHC สงสัยคงต้องตัดใจสั่งของ DHC มาใช้อีก

Neutrogena Healthy Skin Anti-Wrinkle Anti-Blemish Cleanser: เพิ่งซื้อมาใช้ได้ไม่นานหลังจากสิวบุก ยังไม่เห็นผลเรื่องรักษาสิว T_T แต่ชอบมากๆเพราะฟองมันนุ่มสุดๆๆๆ กลิ่นก็ไม่แรงมาก หอมพอดีๆ ล้างหน้าเสร็จหน้าจะลื่นๆ แต่พอเช็ดหน้าก็หาย ไม่ทำให้ผิวแห้งมาก

St. Ives Apricot Scrub: ไม่ชอบเท่าไหร่เพราะเม็ดขัดหน้าใหญ่และหยาบมากๆ ห้ามถูแรงๆเด็ดขาด ไม่งั้นหน้าถลอกแน่ๆ แต่ใช้แล้วก็รู้สึกว่าหน้าสะอาดดี ไม่กล้าใช้บ่อยเพราะอย่างที่บอก กลัวหน้าแหกค่ะ

Cetaphil Cleanser: ตัวนี้อ่อนมากๆ เอามาใช้ล้างหน้าหลังใช้นวดน้ำมันล้างเครื่องสำอางแล้ว ล้างเสร็จผิวจะลื่นๆอีกเช่นกัน แต่พอเช็ดหน้าแห้งก็จะแห้งตึงนิดหน่อย

ล้างหน้าเสร็จต่อด้วยโทนเนอร์

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


SK-II Facial Treatment Clear Lotion: ขวดนี้อย่างแพงงงงงงงงงงงง แต่(แม่)ทุ่มทุนซื้อ(ให้)เพราะเขาว่าใช้กับ Essence แล้วดี ใส่สำลีเช็ดหน้าสะอาดดี หน้าไม่แห้งด้วย ไม่มีแอลกอฮอล ชอบมากๆแต่ด้วยราคาขนาดนี้คงไม่ซื้อ(เอง)ต่อแน่นอน แถมที่อเมริกานี่แพงกว่าที่เมืองไทยมากๆด้วย

C.O. Bigelow Cucumber Skin Tonic: ขวดบักเอ้กมาก ซื้อตอน Bath and Body Works ลดราคาประจำปี เหลือขวดละ $6 เอง โทนเนอร์ตัวนี้ออกข้นๆหน่อยเพราะมีสารสกัดจากแตงกวา เนื้อเย็นๆ ใช้เช็ดแล้วชุ่มชื่นดี ตอนไปเที่ยวคอสตาริก้า เจออากาศร้อนมากๆ ไม่อยากทาครีมเหนอะๆ เอาตัวนี้มาแปะๆหน้าตัวเดียว ก็ชุ่มชื้นพอแล้ว

สุดท้าย mask ที่ไม่ค่อยจะได้ใช้เพราะขี้เกียจ (เขียนเรื่องมาสก์แล้วขอบ่นหน่อย ทำไมหลายๆคนชอบใช้คำว่ามาร์ก/มาร์ค ในเมื่อคำภาษาอังกฤษคือ mask ถอดเสียงเป็นภาษาไทยได้มาสก์/มาสค์ พออ่านที่หลายคนใช้ว่ามาร์คหน้าทีไร นึกไปถึงคนเอากากบาทมาทำเครื่องหมายที่หน้าทุกที ขัดใจครูเก่าอย่างอ้อมจริงๆ)

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket


C.O. Bigelow Seaweed Soothing Mask: ซื้อตอน Bath and Body Works ลดราคาประจำปีอีกเช่นกัน เห็นมันถูกดีเลยซื้อมาลอง เป็นโคลนพอกหน้า มีส่วนผสมหลักเป็นสาหร่ายกับโคลน กลิ่นแหม่งๆบอกไม่ถูก เวลาใช้ก็เอามาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอุ่นเช็ดออก ดีตรงที่ใช้แล้วหน้าไม่แห้ง แต่สำหรับหน้าหนาๆอย่างอ้อมใช้แล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาเลย

Kose Mask White: มาสก์กระชากวิญญาณของใครหลายๆคน เพราะลอกแล้วเจ็บ เป็นมาสก์สีดำสนิท ทาให้ทั่วหน้าเว้นรอบตากับปาก รอจนแห้งตึงแล้วก็จัดการลอกเป็นแผ่นออกมาซะ มันจะดึงทุกอย่างทั้งขนอ่อนๆและสิวเสี้ยนขึ้นมาด้วย แต่ขอบอกว่าใช้กับหน้าหนาๆของอ้อมเนี่ย เอาหนวดอ้อมไม่ออกนะเคอะ ใช้แล้วหน้าก็สะอาดดีแต่ไม่ชอบเท่าไหร่เพราะหน้าจะแห้งๆ เป็นโรคกลัวหน้าแห้งเพราะหน้าแห้งทีไรสิวมาทุกที ที่สำคัญใช้ทีไรคุณคริสฮาทุกที อีเมียหน้าดำ พอเขาขำ อ้อมก็จะขำตามต้องคอยดุว่าอย่าทำขำสิ เดี๋ยวมันไม่ได้ผล มันตึงหน้านะ

จบเท่านี้ก่อนค่ะ คราวหน้ามาต่อเรื่องครีมทาหน้าทั้งหลาย