Sunday, April 30

Puppy Tray

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วลอรี่เอาลูกหมามาวิ่งเล่นที่บ้านหนึ่งตัว ตัวนี้ชื่อชั่วคราวว่า Tray ลอรี่บอกว่าดูมันหงอยๆกว่าตัวอื่น ก็เลยแยกเอามันออกมาดูว่าขี้กลัวมั้ย หรือมันใช้เวลาปรับตัวในที่ใหม่ๆนานรึเปล่า ตัวนี้ดูโครงสร้างตามพันธุ๋ดีกว่าเพื่อน ลอรี่ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวนี้ไว้ให้อ้อมกับคริสหรืออีกตัวที่ดูโครงสร้างไม่ดีเท่าแต่บุคลิกคึกคักซ่าส์กว่าเยอะ

ปรากฏว่าเทรย์มาที่บ้านนี้ได้ไม่ถึงครึ่งชม.ดี เธอก็ปรับตัวได้สบายมากค่ะ ดูคึกคักร่าเริงไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าเพิ่งจะโดนแยกจากฝูงเป็นครั้งแรก อายุก็แค่ 6 สัปดาห์เอง ลอรี่เลยยิ่งลังเลหนักเข้าไปใหญ่ว่าจะให้อ้อมกับคริสเลี้ยงตัวไหน อ้อมกับคริสก็ยังไงก็ได้อยู่แล้ว มันน่ารักออกอย่างนี้ทุกตัวนี่นา

จากครั้งที่แล้วที่ลูกหมามาที่บ้าน แค่อาทิตย์เดียวโตขึ้นตั้งเยอะ หน้าเริ่มยาว ขนก็ฟูขึ้น ดูไปดูมาคล้ายๆลูกหมีเนอะ
ปิดท้ายด้วยรูปพ่อหมี(อ้วน)กับลูกหมีค่ะ

Saturday, April 29

My First Baseball Game at the Jake

เคยเห็นบอลลูนแบบนี้กันบ้างไหมคะ ลูกนี้ลอยอยู่เหนือสนามเบสบอล Jacobs Field เมือง Cleveland เมื่อเย็นวันพฤหัส จริงๆมันอยู่สูงมากๆ แต่กล้องซูมมาได้ชัดเหมือนกัน
ทั้งครอบครัวคริสชอบดูกีฬากันมากๆ กีฬาที่ชื่นชอบกันที่สุดก็คือ เบสบอล ทั้งบ้านเป็นแฟนเหนียวแน่นของทีม Cleveland Indians ที่ว่าเหนียวแน่นเนี่ยก็คือมีเสื้อยืด แจ็คเก็ต ของแต่งบ้าน เป็นโลโก้ทีมอินเดียนส์เต็มไปหมด แมรี่แอนยังใส่สร้อยคอทองคำห้อยสัญลักษณ์ทีมด้วย คิดดูละกัน เอาเป็นว่าบ้านนี้ผูกพันกับทีมนี้มากๆ ดูทีวีถ่ายทอดสดทุกเกม (ซีซั่นเบสบอลจะยาวมาก เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษา จบต้นเดือนตุลา แข่งเกือบทุกวันร่วมร้อยห้าสิบกว่าเกมได้มั้ง) คริสเองก็ไปดูเกมสดที่สนามบ้าง ถ้ามีเวลา เมื่อปีที่แล้วเวลาเขาไปดูทีไรก็จะต้องโทรมาหาอ้อมจากที่สนาม แล้วก็บอกว่ารอให้อ้อมมาดูด้วยกัน(หวานซะ) พออ้อมได้มาที่นี่ซะที คริสก็ไม่รอช้าจัดการซื้อตั๋วเกมเด็ดไว้ 6 เกมสำหรับปีนี้ ในที่สุดเมื่อวานก็อ้อมก็ได้ไปดูดิอินเดียนส์เล่นเป็นเกมแรกของชีวิต(สำคัญมากๆ เหมือนก้าวแรกของทารกยังไงยังงั้น)และที่สำคัญคือได้ไปดูที่สนาม Jacobs Field ที่เรียกกันสั้นๆว่า The Jake จริงๆคริสเคยพาไปดูเบสบอลที่สเตเดี้ยมอื่นแล้วสองที่ คือ St. Louis กับ Pittsburgh แต่ที่ไหนก็ไม่เหมือน The Jake โฮมสเตเดี้ยมของอินเดียนส์ (คริสเขาว่างั้น)

บ้านอยู่ห่างจากคลีฟแลนด์มาประมาณขับรถชั่วโมงครึ่งได้ แต่เมื่อวานออกจากบ้านเร็วหน่อย คือตั้งแต่บ่ายสาม (เกมเริ่มทุ่มนึง) ที่ออกจากบ้านเร็วก็เพราะอยากไปแวะดูบ้านตัวอย่างของ Schumacher Homes (อีกแล้ว) ให้แน่ใจว่าชอบแบบบ้านจริงๆและดูด้วยว่าจะดัดแปลงอะไรบ้าง แต่ก่อนจะไปถึงบ้านตัวอย่าง มาหยุดที่นี่ซะก่อน โปรดสังเกตที่ป้ายเขียนว่า Best in the worldต้องพิสูจน์ว่ามันเจ๋งที่สุดในโลกจริงรึเปล่าก็เลยสั่งถ้วยนี้มา มีรส Chocolate Chip Cookie Dough รสโปรดคริสอยู่ข้างใต้ โปะด้วยรส Chocolate Chocolate Cheesecake ที่อ้อมเลือก ใส่ถ้วยวาฟเฟิล กินเข้าไปคำแรกก็รู้เลยว่าป้ายไม่ได้โม้ อ้อมอุทานออกมาว่า "Oh! My" (ไม่มี God ต่อท้ายเพราะเป็นพุทธ ยังไม่เคยทำใจอุทาน Oh! My god ได้ซักที) ภาษาไทยก็ประมาณ โอ้ คุณพระคุณเจ้า อร่อยเหลือเกิน รสเข้มข้นถึงเครื่องมากๆ ทุกคำจะมี cheesecake หรือไม่ก็ cookie dough หรือไม่ก็ chocolate chips ประมาณว่าถ้าเป็นไอติมกะทิทรงเครื่องบ้านเราก็จะอุดมไปด้วยขนุน เม็ดบัว ข้าวโพด ซาหริ่มนั่นแหละ

จากร้านไอติม ก็ไปดูบ้านตัวอย่าง แต่ไม่ได้ใช้เวลามากเท่าไหร่ ก็พอมีไอเดียแล้วว้าจะทำอะไรกับแปลนบ้านบ้าง ขั้นต่อไปก็คือหาคนเขียนแบบให้

ขับต่อจากบ้านตัวอย่างไปไม่นานก็เข้าตัวเมืองคลีฟแลนด์ นี่ขนาดเป็นเมืองใหญ่ ดูตึกดาวน์ทาวน์ของเขาสิ มีอยู่ไม่กี่ตึก

จอดรถเสร็จก็เดินมาที่สเตเดี้ยมเบสบอล รูปนี้ข้างสนามข้างนอก
รูปนี้หน้าสเตเดี้ยมเลย สนามสวยดี สูงประมาณตึกหกเจ็ดชั้นได้

หาที่นั่งได้แล้ว ได้มุมนี้ เห็นสกอร์บอร์ดอยู่ทางซ้ายมือ

สนามเบสบอลค่ะ

หาที่นั่งเจอแล้ว ก็ต้องออกมาซื้อของกินและเครื่องดื่ม ขาดไม่ได้เวลามาดูกีฬา ก็ต้องนี่เลย เบียร์เย็นๆ ตอนซื้อเบียร์ สองสามีภรรยาโดนตรวจบัตรดูอายุด้วย ดีใจสุดๆคริสทานพิซซ่า(เย็นๆชืดๆ) อ้อมทานฮ็อทดอก ที่เห็นมันดูแหยะๆเนี่ย ใส่มัสตาร์ดกับผักดอง มัสตาร์ดสีนํ้าตาลเป็นมัสตาร์ดพิเศษของสเตเดี้ยมนี้เท่านั้น อร่อยดี
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือ Nachos ชิปส์ ซัลซ่า กับชีสดิปอีกแล้ว มีพริกดองโรยด้วย
ที่นั่งที่ได้อยู่สูงเหมือนกัน ตอนที่ไปถึงคนยังไม่มีเพราะยังเร็วอยู่ก่อนเกมเริ่มครึ่งชั่วโมง ในมืออ้อมถือโปรแกรมเกม ที่หัวใส่หมวกทีม ตอนนี้มีเครื่องแต่งตัวทีมแค่หมวกใบนี้ใบเดียว จะไปซื้อพวกเสื้อมาใส่กะเขาบ้าง ก็ดูแล้วดีไซน์ยังไม่ถูกใจวัยรุ่น(ป้าอยากสาว)แบบเราเล้ย แถมยังแพงอีกต่างหาก สังเกตว่าแต่งตัวสู้หนาวด้วย ที่คลีฟแลนด์อากาศจะเย็นกว่าที่บ้านเพราะอยู่ติดทะเลสาป ลมที่พัดมาเย็นมากๆ ยิ่งหลังพระอาทิตย์ตกแล้ว หนาวสุดๆ

มีหลายคนอาจสงสัย แล้วไอ้อ้อมมันดูเบสบอลรู้เรื่องด้วยเหรอ กีฬานี้ไม่เคยเห็นมีใครเขาดูกันที่เมืองไทย อันนี้ก็ต้องขอบคุณโรงเรียนเป็นอย่างมากที่นอกจากให้ความรู้จนเอ็นท์ติดแล้วยังสอนซอฟท์บอลในวิชาพลศึกษาอีกด้วย อย่างน้อยอ้อมก็รู้ว่าเกมมันทำสกอร์กันยังไง มีกฎอะไรบ้างทำไห้ไม่อายชาวบ้านเขา ส่วนคริสก็ไม่ต้องเหนื่อยอธิบายมาก (แต่จริงยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ทั้งศัพท์ ทั้งสถิติผู้เล่น สกอร์บอร์ดของเบสบอลมีตัวเลขและตัวย่อจำนวนประมาณห้าร้อยตัวได้ คริสก็ค่อยๆสอนอ้อมไป อ้อมก็จำมั่งไม่จำมั่งไปตามเรื่องตามราว อีกสิบปีคงพอไหว)

พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้วในรูปข้างล่าง อากาศก็หนาวซะ แต่แฟนพันธุ์แท้อย่างคริสก็ไม่หวั่น นั่งดูด้วยใจจดจ่อมากค่ะ จริงๆเกมที่ไปดูสนุกมากๆ แข่งกับ Boston Red Sox ซึ่งเป็นทีมดีทีมหนึ่งในลีก อินเดียนส์ตีแกรนด์สแลมได้ตั้งแต่อินนิ่งแรก(เห็นมั้ย ศัพท์เทคนิคเริ่มมา แกรนด์สแลมคือตีโฮมรันได้ตอนที่เบสทุกเบสมีรันเนอร์อยู่ คือโฮมรันเดียวได้ 4 คะแนน หรือ 4 รัน ยิ่งอธิบายศัพท์ยิ่งเยอะวุ้ย) แล้วก็ตีโฮมรันได้อีก ชนะไปด้วยคะแนน 15-3 อ้อมกับคริสกลับตั้งแต่จบอินนิ่งที่เจ็ด(มีทั้งหมดเก้าอินนิ่ง)เพราะตอนนั้นก็ดึกแล้ว สี่ทุ่มกว่า กว่าจะกลับถึงบ้านคืนนั้นก็เที่ยงคืน เหนื่อยสลบจากเบียร์ที่กินเข้าไปด้วย แต่มันส์ค่ะ

Thursday, April 27

ดอกไม้ให้น้าภา

ช่วงนี้อากาศเย็นลงอีกแล้ว ตอนกลางคืนอุณหภูมิลดลงตํ่ากว่าจุดเยือกแข็ง ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็จะมีนํ้าค้างแข็ง (เขาเรียกแม่คะนิ้ง ใช่มั้ย) เกาะหญ้า อ้อมตื่นลงมาก็เจอแบบนี้ หญ้าขาวไปหมด
ดูในรูปข้างล่างจะเห็นนํ้าแข็งเกาะหญ้า ที่เห็นไกลๆเป็นแบ็คกราวนด์คือแฮนนาห์ทำ"ธุระ"อยู่ รูปนี้เสี่ยงลุยแดนกับระเบิดนิดหน่อยกว่าจะได้มา

รูปดอกไม้ที่เหลือข้างล่างนี้ ถ่ายไว้ก่อนอากาศจะเย็น เห็นน้าภาบอกว่าอยากให้น้าติ๋มดู เผื่อเอาไว้เพนท์เสื้อ อ้อมว่าดอกเนี้ยสวยดี ดอกเล็กๆ น่ารัก ใบสีแดงเข้มสวย

ต้น Umbrella ที่บานเต็มที่แล้ว ดูเป็นร่มจริงๆนะ


เท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยววันนี้ตอนเย็นจะไปดูเบสบอลที่คลีฟแลนด์กับคริส เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังค่ะ

Wednesday, April 26

สุดสัปดาห์กับบ้านในฝัน(ภาคสอง)

วันอาทิตย์: ตื่นแต่เช้าเพราะคริสมีนัดเตะบอลเอาท์ดอร์เกมแรกของซีซั่นนี้ (ฟังดูดี จริงจังมาก แต่จริงๆคือคนแก่มาวิ่งไปวิ่งมาเตะบอลกัน) เมื่อคืนก่อนฝนตก พอตอนเช้าลงมาข้างล่างดูดอกไม้ ก็อดไม่ไหว ขอถ่ายรูปซักหน่อย กลีบดอกเปียกๆ ดูฉํ่าๆชํ้าๆดี บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน

ไปถึงสนามฟุตบอล ปรากฏว่าอากาศยังเย็นอยู่เลย แต่อ้อมก็นั่งตาดแดดดูคริสเตะบอลบ้าง อ่านแมกกาซีนบ้าง เป็นผู้เชียร์ที่ดีโดยการออกไปเดินเล่น ถ่ายรูปดอกแดนดีไลอ้อน(ดอกหญ้า)เล่นๆ คริสเล่นเป็นศูนย์หน้าด้วยนะ แต่ไม่ได้ทำประตูเลย เพราะทีมประสานกันดีมากๆ ไม่เคยส่งลูกมาถึงกองหน้าเลย สรุปแพ้ไป 3-2
เตะบอลเสร็จก็มาแวะทานข้างกลางวันที่ร้าน Max & Erma's เพราะมีบัตรของขวัญที่ได้มาตั้งแต่คริสต์มาสอยู่ อ้อมสั่ง Buffalo Chicken Sandwich ไก่ชิ้นเบ้อเริ่มเลย เสริฟมากับเฟรนช์ฟราย และเซลเลอรี่

คริสสั่ง Grilled Chicken Sandwich อร่อยมากๆ ไม่อ้วนด้วย เสริฟกับสลัดราด sun-dried tomato dressing

ระหว่างทานข้าวก็คุยกันเรื่องบ้านต่อ (คุยกันมากจนอ้อมฝันเรื่องบ้านมาสองคืนติดแล้ว) สรุปว่าที่ไปดูมาทั้งหมดเนี่ย บ้านของบริษัท Shumacher Homes ดีที่สุด ทั้ง floor plan และ finishing (เก็บงานดี) ก็เลยจะไปดูบ้านตัวอย่างของบริษัทนี้อีกที่คือที่ Canton ซึ่งก็ไม่ไกลเลย ถ้าจะใช้บริการบริษัทนี้ก็ต้องติดต่อที่ศูนย์นี้แหละ

พอไปดูบ้านตัวอย่างที่นั่น ก็เล็กไปอีกแหละ แต่ไปเปิดๆแปลนอื่นๆของเขาดูก็ชอบอยู่สองแปลนคือ Homestead กับ Wellington II ทั้งคู่ใหญ่ประมาณ 2,700 ตารางฟุต มีสี่ห้องนอนแบบที่อยากได้ จากที่ Canton ก็เลยขับไปอีกศูนย์นึงที่ Akron เพื่อดูบ้านตัวอย่างของแปลน Homestead หน้าตาเป็นแบบเนี้ย คลิกที่นี่เพื่อดู floor plan ได้ค่ะ

ที่ชอบมากๆก็คือ ชั้นสองจะมีที่ว่างไว้สำหรับเป็นห้องนั่งเล่นด้วย (แต่ต้องเพิ่มห้องเหนือโรงรถให้มีห้องนอนสี่ห้อง) ราคาเริ่มต้นของแปลนนี้อยู่ที่ $156,900 แต่บ้านตัวอย่างที่โชว์เนี่ยอัพเกรดเข้าไปเพิ่มอีกร่วม $65,000 ถึงว่ามันถึงได้น่าอยู่ ถ้าจะสร้างเองมันก็ต้องอัพเกรดเข้าไปประมาณนี้หรือไม่ก็มากกว่านี้อีก ตกอย่างน้อย $230,000 ได้

หลังจากดูที่นี่เสร็จ คริสก็บอกไปดูแบบ Wellington II อีกที่เลยละกัน ก็เลยขับไปที่อีกเมืองชื่อ Ravenna

แปลนนี้ ดูแล้วไม่ชอบเท่า Homestead เพราะชั้นสองมีห้องนอนสามห้อง ถ้าจะให้มีสี่ห้องนอนต้องเพิ่มห้องข้างล่างแทน แต่ได้ห้องเล็กมาก (เขาเรียก in-law suite มีห้องนํ้าด้วย)

สรุปไล่ดูไปสามที่ เหนื่อยมาก ที่ชอบที่สุดและคิดว่าจะเป็นแปลนหลักก็คือ Homestead แต่ต้องปรับแปลนนิดหน่อยคือ อ้อมอยากให้ห้องซักผ้าใหญ่ขึ้นหน่อย จะได้ใส่อ่างซักผ้าได้ และ คริสก็อยากขยายให้ห้องนํ้าของมาสเตอร์สวีทใหญ่ขึ้นอีก เพราะห้องเก็บเสื้อผ้าที่อยู่ติดกันมันใหญ่เกินไป

ตอนนี้ที่อยากทำก็คือไปนั่งคุยกับศูนย์บริการของ Schumacher ว่าอยากได้แบบนี้ เพิ่มอัพเกรดอย่างนี้ๆ แล้วให้เขา quote ราคาให้ แต่ดูแล้วว่ายังไงจ้างบริษัทนี้สร้างน่าจะแพงเกินไป เพราะต้องมาดูเรื่องขุดบ่อบำบัดนํ้าเสีย บ่อนํ้าใช้ ระบบทำความร้อนเองอีก เพิ่มอีกอย่างน้อย 2-3 หมื่นเหรียญ แต่อยากลองดูว่าเขาจะ quote ให้เท่าไหร่ แล้วค่อยมาหาผู้รับเหมาแถวบ้านดูว่าเขาจะทำบ้านแบบนี้ได้ถูกกว่ามั้ย (ซึ่งก็น่าจะถูกกว่า แต่ก็ไม่แน่) ที่บริษัทสร้างบ้านอย่างนี้น่าสนใจเพราะว่าเราไปติดต่อที่เดียว เลือกได้เลยว่าจะเอาบ้านแบบไหน มีอะไรบ้าง เลือกได้ทุกอย่างตั้งแต่พื้นยันก๊อกนํ้ายันสีผนัง ไม่ต้องตระเวณให้เหนื่อย แถมยังมีบริการเงินกู้พร้อม การันตีสร้างเสร็จภายในเวลาที่กำหนดคือไม่เกินหกเดือน หูย อันนี้น่าสนมาก หกเดือนเข้าอยู่ได้เลย ไม่ยุ่งยากดี แต่ราคาก็เพิ่มไปด้วยตามบริการน่ะแหละ

จบเรื่องบ้านไว้เท่านี้ก่อน มีสองทางเลือกคือ หนึ่งเก็บเงินไปเรื่อยๆ รอจนปีหน้าค่อยสร้าง ถึงตอนนั้นอาจจะใช้บริการของ Schumacher ไหว สองให้คนเขียนแปลนให้ใหม่แบบที่อยากได้จริงๆแล้วหาผู้รับเหมาที่เรียกราคาถูกกว่าสร้างให้ แต่ก็ไม่รู้จะได้เริ่มเมื่อไหร่ อ้อมว่าสงสัยคงได้รอไปอีกแหงๆ ไม่ว่าจะสร้างเองหรือ Schumacher

Monday, April 24

สุดสัปดาห์กับบ้านในฝัน(ภาคแรก)

คืนวันศุกร์: เพื่อนคริสที่เตะบอลด้วยกันชวนไปดูละครเวที Shakepeare เรื่อง Winter's Tale ที่ Kent University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่คริสจบปริญญาตรี อยู่ห่างจากบ้านไปซักชั่วโมงกว่าได้ ไปทานข้าวแถวนั้นก่อน อ้อมทานไก่ทอดไปสามชิ้น อก สะโพก น่อง จุกอีกเช่นเคย แต่อร่อยและไม่แพง อร่อยกว่าเคเอฟซีเยอะ ลืมถ่ายรูปมาค่ะ พอจานมาก็จ้วงเลย หิหิ ทานเสร็จก็ไปดูละคร เป็นละครที่นักศึกษาเล่น อ้อมก็ไม่เคยอ่านเชคสเปียร์ ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ดูๆไปก็เข้าใจเรื่องได้ ถึงจะฟังไม่ออกทุกคำ ก็สนุกดี แต่เห็นได้ชัดว่าบางคนยังเล่นกันแบบแข็งๆ ดูแล้วรำลึกความหลังไปถึงสมัยเรียนที่ได้ดูละครที่คณะ แล้วก็สลดไปเพราะรู้สึกตัวเองแก่จัง นั่นมันเมื่อสิบปีมาแล้วนี่นา

วันเสาร์: ตื่นไม่เช้ามาก อาบนํ้าแต่งตัวแล้วก็ขับรถออกมาตระเวนดูบ้านตัวอย่างกันเพื่อหาข้อมูลเอาไว้สร้างบ้านตัวเองในที่ข้างๆบ้านพ่อแม่คริส ขับไปที่เมือง Ashland ผ่านทุ่งผ่านฟาร์มทั้งหลาย(มีกลิ่นปุ๋ยคอกลอยมาตามลมเป็นระยะๆอีกเช่นเคย) แถบนี้มี Amish อยู่เยอะ คนอามิชอพยพมาจากเยอรมันนานมากแล้ว เป็นคริสต์ที่เคร่งศาสนา ยังอยู่กันแบบไม่มีไฟฟ้าใช้ แล้วก็ขับรถม้า เสื้อผ้าก็จะใส่สีทึมๆ ผู้ชายไว้เครายาว ผู้หญิงก็ใส่หมวก ใส่กระโปรงยาวแบบโบราณๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขายังอยู่แบบนี้กันได้ในยุคนี้ แต่เขาก็ทำการค้ากับคนภายนอก เฟอร์นิเจอร์กับผ้านวม(quilt)ของคนอามิชมีชื่อเสียงมาก เพราะเป็นงานฝีมือ แต่ก็แพงมากด้วย สไตล์ก็เป็นแบบคันทรี่มาก(เกินไปสำหรับอ้อม) ขับรถไปก็เจอรถม้าอามิชแบบในรูป


ขับไปชั่วโมงกว่าก็ถึงแอชแลนด์ ที่นี่มีบ้านตัวอย่างหลายบริษัทตั้งอยู่ติดๆกัน บริษัทพวกนี้รับปลูกบ้านบนที่เปล่า มีแปลนให้เลือกตั้งแต่บ้านเล็กๆไปจนถึงขนาดใหญ่ แล้วแต่ชอบ ราคาแต่และแปลนก็ต่างกันไป แต่ละแบบก็สามารถอัพเกรดหรือเปลี่ยนแปลง(customize)ได้ตามความชอบ แต่แน่นอนว่าต้องจ่ายเงินเพิ่ม

บริษัทแรกที่แวะชื่อ Wayne Homes หลังแรกที่เข้าไปดูเป็น ranch คือบ้านหลังเดียว ขนาดประมาณ 2,200 ตารางฟุตได้ มีสี่ห้องนอน สองห้องนํ้าครึ่ง (ครึ่งห้องนํ้าคือห้องนํ้าที่ไม่มีที่อาบนํ้า มีแต่ส้วมกับอ่างล้างมือ) ห้องครัวกับห้องนั่งเล่นเปิดโล่งตามสไตล์ที่เป็นที่นิยมกัน จริงๆอ้อมกับคริสอยากได้บ้านสองชั้นแต่เห็นบ้านนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน floor plan เขาดี นี่รูปหน้าบ้าน ผนังบ้านข้างนอกมีหินแต่งแบบนี้ที่คริสชอบ
อีกหลังที่ไปดู เป็นบ้านสองชั้น เล็กไปหน่อย คริสชอบบ้านหลังใหญ่ๆ ส่วนอ้อมชินกับบ้านหลังเล็กๆ ยังไงก็ได้ จริงๆยิ่งใหญ่ยิ่งต้องเสียเงินทั้งค่าตกแต่งค่านํ้าค่าไฟอีกเยอะ

ดูเสร็จก็มาคุยกับเซลส์ ถามถึงราคาว่าขั้นต้นเท่าไหร่ อัพเกรดอะไรได้บ้าง เช่น ถ้าจะเอาหินมาแต่งแบบนั้นต้องเสียเพิ่มอีก $11,000 อ๊ากส์

ที่ถัดมาที่ไปดูคือ K. Honanian Homes บ้านเล็กไปอีกเหมือนกัน คริสเขาก็ว่า floor plan มันยังไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่ก็ไปคุยกับเซลส์อยู่ดี พอดีเขามีโปรโมชั่นแปลนอื่นอยู่ ก็เลยลองถามเขาดู นั่งคุยกันอยู่ตั้งนาน ให้เขา quote ราคาบ้านให้ ราคาเริ่มต้นประมาณ $119,000 เพิ่มอัพเกรดที่อยากได้เข้าไปออกมาก็ไม่เลว $130,000 สำหรับบ้านขนาดเกือบ 2,300 ตารางฟุต สี่ห้องนอน เรียกว่าถูกเลยล่ะ ราคาขนาดนี้จ่ายไหวแน่ๆ แต่เนื่องจากว่าแปลนนี้ไม่มีบ้านตัวอย่างให้ดู คุยกันเสร็จเซลส์ก็เลยบอกว่าขับไปดูบ้านแบบเดียวกันที่เพิ่งสร้างให้ลูกค้าเสร็จก็ได้ ก็เลยขับไปดู ดูข้างนอกบ้านก็ดูสวยดี แต่พอเข้าไปข้างในแล้ว ไม่ประทับใจเท่าไหร่ ครัวเล็ก ห้องต่างๆก็เล็กเกิน

หลังนั้นก็ขับไปอีกที่คือ Shumacher Homes บริษัทนี้มีชื่อเสียง แต่แพง ก็ไปดูๆบ้านตัวอย่างที่นี่แต่ยังไม่ถูกใจ เพราะเล็กไปอีก แต่ที่บริษัทนี้บ้านดูมีคุณภาพกว่าเพื่อนก็เลยกะว่าจะไปดูแปลนอื่นที่ศุนย์อื่นของเขาทีหลัง

ที่สุดท้ายที่แวะคือ 89 Building บ้านคล้ายๆกับหลังที่ได้ quote มาจาก K. Hovanian แต่มีแค่สามห้องนอนซึ่งก็ดีกว่าเพราะแต่ละห้องขนาดใหญ่กว่า ราคา $145,900 แต่พอมาดูว่ารวมอะไรบ้างแล้ว ก็ไม่ไหว ต้องอัพเกรดเยอะเหลือเกิน

ถึงตอนนี้ 5 โมงเย็นแล้วอ้อมกับคริสก็เหนื่อยกันสุดๆ ไปตั้งแต่ 11 โมงครึ่ง ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้ทาน ก็เลยขับกลับมาแวะทานข้าวเย็นที่ El Campesino ร้านอาหารเม็กซิกัน ก่อนอื่นสั่ง con queso ชีสดิพ เสริฟมาพร้อมกับ chips และ salsa (ซึ่งฟรี เติมได้ไม่อั้น)

สามสหาย tortilla chips, con queso and salsa มืออวบๆข้างหลังคือมือคริส รอเตรียมจ้วงเต็มที่ ฮ่าๆ

ชีสยืดๆ

คริสสั่ง chalupa รูปนี้ถ่ายหลังจากคริสหั่นๆคลุกๆแล้ว เลยออกมาดูเหมือนอาหารหมูเล็กน้อย ^_^ แต่เขาอร่อยของเขาแบบนี้

อ้อมสั่งชุด taco กับ enchilladas ได้มาแบบนี้ (ไม่ได้ถ่ายรูป taco กินหมดก่อนแล้วค่อยนึกได้) อร่อยดี แต่ทานได้อันเดียวก็เลี่ยนแล้ว ต้องซด salsa แกล้มไปด้วยจนทานหมดแต่เหลือข้าว แล้วจะไม่ให้อ้วนขึ้นได้ไงเนอะ แต่เอาเถอะ ถือว่าไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ฮ่าๆ

หลังจากนี้ก็แวะซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วกลับบ้านมานั่งคุยกันเรื่องบ้านว่าสรุปแล้วอยากได้แบบไหนกันแน่

สรุปแล้วอ้อมกับคริสอยากได้บ้านสองชั้น สี่ห้องนอน(ห้องนอนตัวเองหนึ่ง ลูกสอง และ guest room อีกหนึ่งสำหรับพ่อตาแม่ยายและญาติๆ) ขนาดไล่ๆกับบ้านพ่อแม่คริส คือ เกือบๆ 3,000 ตารางฟุต ห้องนอนแต่ละห้องต้องขนาดอย่างน้อย 12x12 ฟุต ห้องนํ้าสองห้องครึ่ง จริงๆอ้อมก็ว่าบ้านใหญ่ขนาดนี้ยังไม่จำเป็นเพราะลูกก็ยังไม่มี สามห้องนอนแบบที่ไปดูมาก็เหลือเฟือแล้ว แล้วค่อยเพิ่มห้องนอนชั้นใต้ดินทีหลัง แต่เนื่องจากว่าเวลาปลูกบ้านต้องนึกถึง ราคา resale คือราคาขายต่อด้วย ถึงจะปลูกไว้อยู่เองนานๆ ก็ต้องคิดถึงราคาขายอยู่ดี เพราะถือว่าเป็นสินทรัพย์ ราคาขายก็ขึ้นอยู่กับบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกันด้วย มันต้องเข้ากับหลังอื่นที่มีอยู่แล้ว ไอ้เนินที่อยู่กัน 4-5 หลัง มันดันมีแต่บ้านใหญ่ๆดีๆ ถ้าจะปลูกอีกหลังมันก็ต้องระดับเดียวกัน เพราะฉะนั้นไอ้ที่ไปดูๆมาเนี่ย ยังไม่เข้าขั้นเลย

ที่อยากได้อีกก็คือ:

2"x6" framing ปกติบ้านที่นี่ขึ้นโครงโดยใช้ไม้ขนาด 2"x4" ยิ่งไม้หน้ากว้างเท่าไหร่บ้านก็ยิ่งแข็งแรง(ผนังหนา)และที่สำคัญคือระหว่างโครงไม้จะสามารถอัดฉนวนกันความหนาวเข้าไปได้มากกว่า ทำให้ประหยัดพลังงานดีกว่า

walk-out basement ชั้นใต้ดินมีประตูให้เดินออกไปข้างนอกได้ เนื่องจากเป็นการเพิ่มพื้นที่อยู่อาศัย (living space) ได้อีกมาก กะว่าเวลาปลูกบ้าน คงยังไม่ต้องแต่งชั้นใต้ดินให้เสร็จ แค่เดินท่อประปาสำหรับห้องนํ้ารอไว้ก่อนก็พอ พออยู่ๆไปค่อยแต่งไปเรื่อยๆ คริสว่าจะทำเอง

9' ceilings เพดานชั้นล่างสูง 9 ฟุต ปกติแค่ 8 ฟุตเท่านั้น เพดานสูงทำให้บ้านโปร่งดี

open foyer เข้าประตูหน้าบ้านมาช่วงบันไดเพดานเปิดโล่งขึ้นไปถึงชั้นสอง อันนี้ก็ทำให้บ้านโปร่งขึ้นเยอะ

open kitchen and great room ห้องครัว ห้องทานข้าวเช้า ห้องนั่งเล่นเป็นห้องเดียวกันไม่มีกำแพงกั้น ตาม open concept ที่เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว อันนี้เพื่อที่ว่าเวลาคุณแม่บ้านทำกับข้าวในครัว จะได้ไม่ถูกตัดขาดจากสมาชิกครอบครัว (ครัวฝรั่งก็ไม่เป็นไรอ่ะนะ แต่มาเจอเราทำกับข้าวไทยๆเข้าไปนี่คงมีส่วนร่วมได้จามกันทั้งบ้านแน่ อ้อมคงต้องติดพัดลมดูดอากาศตัวใหญ่ๆไว้เหนือเตา)

sun room ห้องเสริมข้างล่าง ติดหน้าต่างรอบด้าน ให้แสงเข้ามาเยอะๆ เพราะฉะนั้นห้องข้างล่างก็จะมีห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องทานข้าวเช้าติดๆกัน ห้องทานข้าวแบบเป็นทางการ (formal dining room) sun room และห้องทำงาน เยอะดีมั้ยล่ะ

porch ระเบียงหน้าบ้าน ถ้าได้เป็น wrap around porch ระเบียงที่ยาวต่อไปรอบข้างบ้านได้ยิ่งดี

3-car garage รถยังไม่มีซักคันเพราะใช้แต่รถบริษัท แต่ยังไงก็ต้องเอาที่จอดรถใหญ่ไว้ก่อน แล้วก็ต้องเป็น side-loaded ด้วยคือประตูที่จอดรถอยู่ข้างบ้านไม่ใช่หน้าบ้าน เพราะต้องเลี่ยงลมแรง

geo-thermal ระบบทำความร้อนความเย็นโดยใช้พลังงานจากใต้ดิน ค่าติดตั้งสูง แต่เขาว่าระยะยาวคุ้มกว่าใช้แก๊ส

แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องคิดถึงเรื่องอื่นอีก เช่นระบบบำบัดนํ้าเสีย ระบบนํ้าใช้ที่ต้องขุดบ่อเอง เรื่องครัวว่าอยากได้เคาน์เตอร์ท็อปแบบไหน เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นไหน แต่พวกนี้คิดทีหลังได้

เท่านี้ก่อนนะคะ เหนื่อยจัง เดี๋ยวเล่าเรื่องวันอาทิตย์ทีหลัง

ป.ล. วันนี้ทำบะหมี่ไก่บาร์บีคิวทานตอนกลางวัน อร่อยน้า

Friday, April 21

Spring Flowers (for the last time)

เมื่อวานช่วยแมรี่แอนตัดต้นไม้อยู่ในสนามอยู่สองชั่วโมงได้ ตากแดดเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ดีที่ได้ออกกำลัง พอตอนเย็น ก็นั่งรถไปเอาของเป็นเพื่อนคริส แดดยังแรงอยู่แถมร้อนด้วย ดูหน้าตัวเอง(ที่ตอนนี้หมองคลํ้าไปมากด้วยแดด)ในกระจกมองข้าง แล้วก็หันไปบ่นกับคริสว่าเนี่ยกระ(freckles)ขึ้นแน่ๆเลยเพราะตากแดดเยอะ คุณสามีสุดที่รักหันมาบอกว่า ฮันนี่ อายุขนาดนี้น่ะ เขาไม่เรียกกระแล้ว เขาเรียก age spots(จุดสีนํ้าตาลที่ผู้สูงอายุมีกัน) โหย หยาบคายมาก เกือบหันไปหลังมือซะหนึ่งที แต่ได้แค่ตัดพ้อไปว่าใจร้ายจัง (You're so mean.) พร้อมกับค้อนวงเล็กๆตามประสาภรรยาไทยใจงาม

เข้าเรื่องรูปต้นไม้ดีกว่า มีที่เยอะๆแบบบ้านนี้เนี่ยก็ต้องดูแลเยอะ แมรี่แอนก็แข็งแรงมาก ตัดต้นไม้เสร็จเมื่อวาน ยังไปตัดหญ้าต่ออีก หญ้านี่ก็ต้องคอยตัดบ่อยๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งได้

เริ่มจากรูปที่ไม่ใช่ต้นไม้ก่อน

สนามหญ้าจะสวยได้ต้องมีการบำรุง คริสตัดหญ้าด้วยรถตัดหญ้า จริงๆมีคันใหญ่กว่านี้เอาไว้ตัดทุ่งหญ้าที่โล่งๆข้างบ้าน

เวลาตัดหญ้าเป็นเวลาพักผ่อนของคริสเขานะ แมรี่แอนก็ชอบเหมือนกัน อ้อมก็เล็งๆไว้ว่าเดี๋ยวจะให้คริสสอนขับรถตัดหญ้า น่าเพลินดี แต่เสียงมันดังไปหน่อย

เริ่มรูปดอกไม้ ต้นหน้าบ้านเลย สีเขียวๆใสดี ชอบสีเขียวมะนาวแบบนี้มากๆ ตอนนี้ตามข้างถนน ต้นไม้จะเขียวไปหมดแล้ว ใบแตกใหม่เนี่ยสีสดใสจริงๆ เห็นแล้วกระชุ่มกระชวยคึกคัก(เว่อร์ไปมั้ย แต่มีความสุขจริงๆนะ)

ต้นเชอรี่ต้นเล็กนี่เพิ่งลงเมื่อปีแล้ว ยังออกดอกเต็มเลย

ซูมใกล้ๆ

ต้นนี้เรียกว่า Red Bud ดอกออกเป็นปุ่มติดกิ่งเลย


บานแล้วเป็นอย่างนี้

อันนี้พุ่มไม้หลังบ้าน สีแปลกดี

ต้นนี้ใบสีแดงเข้ม สวย

ต้นนี้แมรี่แอนเรียก Umbrella ชื่อเต็มๆคืออะไรไม่รู้ รูปนี้ดอกตูมอยู่

ดอกเริ่มบาน

บานแล้วเป็นอย่างนี้

ต้นพลัม ชอบกิ่งมัน งอๆสวยดี ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วย

ดอกแดฟโฟดิลจิ๋ว ขึ้นเองไม่ได้ปลูก

พุ่ม Bar Berry มีหนาม ใบสีแดงปนเขียว มีลูกด้วย
รูปดอกไม้พวกนี้ ค่อยๆทยอยถ่ายเก็บไว้ ตอนนี้เกือบทุกต้นดอกไม้บานหมดแล้ว บางต้นก็ร่วงหมดแล้ว และเริ่มแตกใบใหม่ อีกไม่นานก็คงเหลือแต่ใบเขียวๆไม่มีดอก แมรี่แอนบอกว่ามีบางต้นที่จะออกดอกตอนซัมเมอร์ เพราะฉะนั้นบ้านนี้จะมีดอกไม้ออกตลอด คงได้ถ่ายรูปเพิ่มเนคอลเล็คชั่น summer flowers แน่ๆ (ถ้าได้อยู่บ้านตอนนั้นนะ)