Wednesday, July 12

Hawaii Trip: Part 4

วันที่สี่: วันนี้มีรถเช่าขับแล้ว จองผ่านอินเตอร์เน็ตไว้ล่วงหน้า ไม่ได้จองในแพ็คเกจโรงแรมเพราะจองต่างหากอย่างนี้ออกมาถูกกว่าและได้อัพเกรดรถด้วย ที่สำคัญคือรับรถที่ไวกิกิได้ ถ้าจองกับนอร์ธเวสต์ต้องรับรถที่สนามบินเท่านั้น อ้อมกับคริสไม่ได้อยากมีรถขับตลอดทั้งทริปก็เลยจองไว้แค่สามวัน แค่นี้ก็ต้องเสียค่าที่จอดรถให้โรงแรมวันละ $15 อีกต่างหาก

ได้รถมาวันแรกก็ไปช็อปปิ้งก่อนเลย ไปเอาท์เล็ตมอลล์ที่ Waikele อยู่ไกลจากฮอนโนลูลูซักครึ่งชม.ได้มั้ง มีร้านค้าพอประมาณไม่ถึงกับเยอะมาก พอไปถึงอ้อมก็ขอกินก่อนล่ะ มีร้านซูชิสายพานร้านโปรด ราคาไม่แพง คริสไม่ทานด้วย อ้อมก็เลยนั่งทานคนเดียวด้วยความรวดเร็ว ที่ชอบที่สุดคือ spicy tuna แล้วก็ทานหอยอะไรไม่รู้ จำชื่อไม่ได้แล้วแต่ก็อร่อย อย่างละสองจาน แล้วก็กุ้งหวานอีกจาน ค่าเสียหายประมาณ $11 อิ่มกำลังดี นี่ถ้าคริสทานด้วยได้คงได้ทานหลายอย่างกว่านี้
ทานเสร็จก็เดินช็อปปิ้ง อ้อมได้กางเกงยีนส์มาหนึ่งตัว กระเป๋าสะพายหนึ่งใบ ได้เสื้อฝากพี่แอ้มหนึ่งตัวกับกางเกงบ็อกเซอร์คริสอีกห้าตัวที่ร้านกล้วย (Banana Republic) แล้วก็เสื้อสเวตเตอร์ฝากเจฟฟ์ (พี่ชายคริส) ลอรี่ (พี่สาวคริส) และ คาซูมิ (พี่สะใภ้) กับกางเกงฝากทิม (บัดดี้คริส) อีกคนละตัวจากร้าน Crazy Shirts ที่ปกติแพงมหาโหด

ช็อปเสร็จก็กลับโรงแรม อ้อมหิวอีกก็เลยเอาสตรอเบอรี่ที่ซื้อมาจาก Foodland ออกมาทาน แม่เจ้าโว้ย ลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ลูกเกือบเท่าฝ่ามือ ไม่รู้ปลูกด้วยอะไรตอนค่ำหาร้านอาหาร Mexican ทานกัน ตอนแรกว่าจะขับรถออกไปทานร้านที่เคยรู้จัก แต่ดันจำไม่ได้แล้วว่าอยู่ตรงไหน เลยไปทานร้านใกล้ๆโรงแรมแทน อร่อยใช้ได้แต่แพงมากกกกกกกกกกกกก เป็นอาหารเม็กซิกันที่แพงที่สุดเท่าที่เคยทานมา จ่ายตังค์ไปน้ำตาแทบร่วง ดีนะที่อร่อย

----จบวันที่สี่----

วันที่ห้า: ต่อเลยละกัน วันนี้ขับรถเล่นขึ้น Pali Highway เป็นไดรฟ์ขับผ่านหุบเขาที่สวยมากๆ ไปแวะที่ Pali Lookout ถ่ายรูปหน่อย ที่หน้าผานี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮาวาย
วิวดีมากๆ แต่เสียดาย วันนั้นเมฆเยอะ รูปเลยไม่แจ่มเท่าไหร่




เนื่องจากว่าหน้าผานี้มีความศักดิ์สิทธิ์ ก็เลยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไฮเวย์นี้ด้วย ที่วิเวียนเพื่อนอ้อมเคยบอกก็คือ เวลาขับรถผ่านไฮเวย์นี้ ห้ามมีเนื้อหมูอยู่ในรถเด็ดขาด คิดว่าหมูถือเป็นสัตว์ที่คนฮาวายเขาฆ่ากินกันในงานเลี้ยงสมัยก่อนหรืออาจจะเป็นเครื่องเซ่นอะไรประมาณนี้ วิเวียนบอกว่าเขาเคยลืมไปครั้งนึง ประมาณว่ากำลังจะไปงานบาร์บีคิวบ้านเพื่อนก็เลยมีหมูอยู่ในรถ ขับขึ้นไฮเวย์นี้ไปนิดนึง เครื่องดับไปเฉยๆเลย เขาก็งงแล้วก็นึกขึ้นได้ รีบโยนหมูทิ้งไปปุ๊บ รถสตาร์ทติด ขับต่อได้ซะงั้น

อ้อมกับคริสขับต่อจาก Pali Highway ไป Kamekameha Highway ที่วิ่งเลียบชายฝั่งทางตะวันออกฉียงเหนือของเกาะ ไดรฟ์นี้ดี ไม่เคยขับกันมาก่อน ช้าหน่อยเพราะถนนเส้นเล็กแต่ได้เห็นส่วนของเกาะที่ไม่เคยเห็น ด้านนี้มีชาวบ้านอยู่กันเยอะ คือคนไม่รวย เห็นตามบีชพาร์คมีคนจรจัดมานอนกางเต้นท์กันอยู่ก็มี ขับๆไปจะเจอ shrimp truck รถขายกุ้งทอดกระเทียมด้วย อ้อมอยากทานมากๆแต่คุณคริสไม่เล่นด้วยอีกตามเคย เซ็งฮ่ะ สามีไม่รู้จักทานของดี

ขับกันมาจนถึง North Shore เข้าเขตท่องเที่ยว หาดแถบนี้แต่ก่อนมากันบ่อยเพราะเป็นที่โต้คลื่นเวลาหน้าหนาว คริสจะมา boogie board กับเพื่อนที่ surf แต่เช้ามืด อ้อมก็ติดรถมาด้วย มานอนอาบแดดดูหุนุ่มๆ คราวนี้เป็นช่วงหน้าร้อน คลื่นเข้าทาง south shore กับ east shore มากกว่า หาดทางนี้ก็เลยสงบ


สองหาดนี้ ถ้าใครมาช่วงเดือนธันวาต้องมาดูแข่งเซริฟที่นี่ให้ได้ พวกเซิรฟเฟอร์นี่เก่งๆหล่อๆเท่ห์มากกันทั้งนั้นค่ะ ขากลับมาแวะที่ Hale'iwa เป็นเมืองเก่าเล็กๆมีร้านขายของและร้านอาหารหลายร้านอ้อมอยากทานกุ้งที่ shrimp truck มาก มีเจ้านึงที่ดัง แต่ดันจำไม่ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน สุดท้ายเลยเข้าร้าน L&L Drive In ที่ขาย plate lunch ตามสไตล์ฮาวาย มีข้าว macaroni salad และก็กับที่เราเลือก ซึ่งก็จะมีทั้งหมูทอดแบบญี่ปุ่น หรือไม่ก็เนื้อย่างแบบเกาหลี หรือไม่ใช่ข้าวเป็นพวกบะหมี่ก็มี เมนูเป็นอาหารเอเชียหลายๆอย่าง อ้อมสั่งเนื้อย่างรวมมิตร มีทั้งเนื้อไก่ หมู เนื้อวัวติดซี่โครง เยอะมากๆ ทานไม่หมดค่ะ ส่วนคริสสั่ง loco moco ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นที่นี่ มีข้าวและ macaroni salad กับแฮมเบอร์เกอร์ย่างราดน้ำเกรวี่โปะไข่ดาว อ้วนดีจริงๆ แต่เป็นของโปรดคริสเขา จำได้ตอนสมัยเรียนเป็นจานที่ถูกที่สุดเลยในโรงอาหารในแคมปัสทานเสร็จก็ขับรถกลับผ่านทุ่งสับปะรดของ Dole Plantation มีร้านให้แวะซื้อของที่ระลึกกับทานไอติมสับปะรดด้วย แต่ไม่แวะค่ะ จำได้ว่าไอติมไม่อร่อย แถมมีนักท่องเที่ยวอัดกันประมาณล้านแปดอยู่ในนั้น ไดรฟ์นี้ก็สวย เห็นภูเขาเป็นแนวยาว

อย่านึกว่าทานกันมาอย่างนั้นแล้วจะหยุดทานกันง่ายๆ ขับกลับเข้าเมืองมาแวะทานไอติมที่ร้านโปรดใกล้แคมปัสอีก ร้านชื่อ Bubbies เมนูไอติมแต่ละรายการชื่อสัปดนมาก หิหิ แต่ไอติมอร่อยถึงใจ ช็อกโกแล็ตเป็นช็อกโกแล็ตทานไอติมเสร็จ กลับโรงแรม ตอนค่ำขับรถไปที่ Aloha Tower เพื่อหาอะไรทานเล่นหน่อย (ทานหลักๆไม่ไหวแล้ว) Aloha Tower นี่อยู่ติดทะเลแต่เป็นช่วงที่เป็นท่าเรือ ใกล้กับดาวน์ทาวน์และไชน่าทาวน์ อ้อมกับคริสนั่งที่ร้าน Gordon Biersch สั่งแอ็พเพอร์ไทเซอร์มาทานกันจานเดียวเท่านั้น กับเบียร์คนละแก้ว เบียร์ที่นี่อร่อยและไม่แพง พอออกจากไวกิกิเนี่ย ของทุกอย่างราคาถูกลงทันทีทานเสร็จเดินเล่นดูของตามร้านนิดหน่อย ได้กางเกงยีนส์ลดราคาครึ่งนึงมาอีกหนึ่งตัว (คือกางเกงยีนส์ที่หอบมาจากเมืองไทย มันใส่ไม่ได้ไปหลายตัวแล้ว เลยต้องซื้อใหม่) ซื้อเสร็จกลับโรงแรม นอนค่ะ

----จบวันที่ห้า----

Tuesday, July 11

Hawaii Trip: Part 3

วันที่สาม: วันนี้ไปเดินเล่นที่ห้างใหญ่ยักษ์ชื่อ Ala Moana Center อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเดินไป แต่คราวนี้เดินไม่ไหว อากาศร้อนมากๆเลยด้วย ก็เลยนั่งรถเมล์ไป เที่ยวเดียวถึง ขอใบ transfer มาไว้ใช้ขากลับได้ (ประหยัดไปคนละ $2) ไปถึงที่ห้างก็อ้อมก็เริ่มเดินๆๆๆดูของ อ้อ แวะซื้อชาไข่มุกมาแก้วนึงที่ฟู้ดคอร์ทก่อน คริสจะได้ดูดเวลานั่งรออ้อมช็อป หิหิ อลา มัวน่านี้ดีมากๆ นอกจากจะมีร้านค้ามากมายแล้วรวมทุกยี่ห้อไว้แล้ว ก็ยังมี department store อีก 4 ห้าง ร้านอาหารดีๆบนชั้นบนสุดอีกเพียบ อ้อมก็เลือกเข้าแต่ร้านที่งบถึง หิหิ พวกแบรนด์เนม เช่น ชาแนล เซลีน พราด้า นี่ไม่เคยเข้าฮ่ะ เก็บไว้ให้พวกสาวๆญี่ปุ่นที่เดินกันให้ขวักไขว่ทั้งเกาะเขาช็อปไปละกัน เราได้แต่มองอยู่หน้ากระจก เดินอยู่นานพอสมควร อ้อมประพฤติตัวดีมากซื้อแค่กุงเกงใน The Gap ที่ลดราคาเกินครึ่งมาสี่ตัว ของกำลังเซลส์เยอะมากช่วงนี้ แต่หาไซส์อ้อมไม่ได้เลย ช็อปที่ฮาวายแย่อย่างนี้แหละ เพราะมีสาวๆตัวขนาดเท่าๆเราเยอะ ของดีๆไซส์เล็กๆหมดก่อนทุกที ไม่เหมือนที่ Mainland เวลาอ้อมช็อปที่โอไฮโอนี้ ไซส์เล็กๆเหลือเพียบ แต่ของไม่ดีนะ อย่างที่ร้าน The Gap ที่ห้างใหญ่ใน Canton ก็ไม่มี Gap Body (พวกชุดชั้นใน) มาถึงฮาวายอ้อมเลยตาลุกวาว แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากใช้ตังค์มากๆ แค่ค่าแพ็คเกจมาเที่ยวก็หลายแล้ว ประหยัดตังค์ไว้กินดีๆแทนดีกว่า ฮะๆ อีกร้านนึงที่กะว่าจะมาซื้อของคือ ร้านเครื่องสำอางค์ Sephora อยากลองแป้งฝุ่นรองพื้นยี่ห้อ Bare Escentuals เขาว่าดีนักดีหนา แต่ปรากฏว่าร้านคนเยอะ ถ้าอยากลองทั้งหน้าต้องนัด อ้อมก็เลยแค่เทสต์สี พอให้รู้ว่าถ้าซื้อจะซื้อสีไหน แต่ยังไม่ได้ซื้ออยู่ดี เพราะไม่ได้ลองทั้งหน้า เลยไม่แน่ใจ เดินเสร็จก็มาทาน Korean BBQ ของร้าน Yummy (อีกแล้ว) ที่ฟู้ดคอร์ท สาขานี้ดีกว่าที่ไวกิกิ สั่ง mandoo หรือเกี๊ยวซ่าทอดมาเสริมด้วย เครื่องเคียงก็มี chab chae (วุ้นเส้นผัดกับผัก ซอสออกหวานหน่อย), กิมจิ , macaroni salad และก็ ผักอะไรอีกสักอย่างไม่รู้ อร่อยดี

จากนั้นก็ไปซื้อช็อกโกแล็ตที่ร้านโปรด See's Candies
แล้วก็แวะซื้อของเอาไว้ทานในห้องที่ Foodland ซื้อพวกผลไม้ โยเกิร์ต ไข่และขนมปัง เอาไว้ทำอาหารเช้าทานในห้อง ไหนๆก็เสียเงินเพิ่มมาอยู่ห้องที่มีครัวเล็กๆแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม

นั่งรถเมล์กลับมาที่โรงแรม เก็บของเข้าตู้เย็นก็ออกมานั่งเล่นที่ระเบียงกัน วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนบ่ายเมฆเยอะและชื้นมากๆ ลมไม่มี คริสอยากถ่ายรูปตอนครึ้มๆเก็บไว้ อ้อมก็เลยบังคับให้ถ่ายรูปอ้อมด้วย (ต้องยัดเยียดกล้องให้ ไม่เคยมีเสนอตัวว่าจะถ่ายรูปภรรยาเอง ฮึ) อุตส่าห์โพสต์ทำท่ามองเหม่อ แต่ออกมาไม่เห็นสวยซึ้งเลยแฮะ ตาย เพิ่งเห็นว่าตัวเองแก้มพองขึ้นมาบังทั้งดั้งทั้งจมูกแล้ว
ซูมไปที่หุบเขาชื่อ Manoa ที่เป็นที่ตั้งของ University of Hawaii at Manoa ที่อ้อมกับคริสเคยเรียนและพบรักกันน่ะแหละ อากาศที่ฮาวายมักจะเป็นแบบนี้คือ ในหุบเขาจะมีเมฆครึ้มตลอด มีฝนลงปรอยๆบ่อย แต่ที่ชายหาดจะแห้งและร้อนกว่า ถ้าฝนตกก็จะตกสักครึ่งนาทีแบบไม่เห็นเมฆด้วย คือฝนตกแดดออก
นั่งเล่นนอนเล่นในห้องจนค่ำก็ออกมาเดินเล่นที่ International Market เดินไปเดินมา มาเจอร้านขายของแฮนด์เมดแต่งต้นคริสต์มาส มีคุณป้าใจดีช่างคุยเป็นคนทำและขาย คุณป้าช่างคุยมากๆทั้งๆที่ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีมาก คุยไปถึงเรื่องลูกสาวว่าแต่งงานกับ haole (คำที่คนฮาวายใช้เรียกคนขาว บางครั้งมีความหมายแฝงในทางที่ไม่ดี) แล้วก็เล่าเรื่องครอบครัวลูกสาวให้ฟัง พออ้อมบอกว่าอ้อมมาจากเมืองไทย คุณป้าก็บอก เออ เมืองไทยลิงเยอะที่ลพบุรี ฮาเลย คุณป้าไม่เคยไปหรอก แต่เคยดูสารคดีแล้วจำได้ คุยกันอยู่ตั้งนาน สรุปซื้อตุ๊กตา angel มาสองตัว ลดจากตัวละ $12 เหลือสองตัว $18 ซื้อเสร็จคุณป้าก็โชว์อัลบั้มรูปของคนที่ซื้อตุ๊กตาไปประดับต้นคริสต์มาสที่บ้านแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ มีจากทุกมุมโลกเลย แล้วก็เขียนที่อยู่มาให้ ก่อนไปอ้อมขอถ่ายรูปกับคุณป้าหน่อย แกก็เอามงกุฎมาใส่ให้เสร็จสรรพ โพสต์ท่าทำมือ hang loose แบบฮาวายซะด้วยถ่ายกับคุณป้าเสร็จ คุณป้าบอกจะถ่ายให้อ้อมกับคริส ถ่ายธรรมดาไม่พอ คุณป้าบอกจุ๊บกันด้วย ฮ่ะๆ เลยได้รูปคู่หวานๆ แบบหน้ามันเยิ้มกันทั้งคู่ หิหิ คริสอวบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

หลังจากนี้ก็เดินเล่นอีกนิดหน่อยแล้วก็กลับห้อง ตอนนี้เริ่มคุยกันว่าอยู่แต่ในไวกิกินี่ไม่ไหวแล้วนะ คนเยอะเหลือเกิน ดีที่พรุ่งนี้จะได้รถเช่าที่จองไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว

----จบวันที่สาม----

Monday, July 10

Hawaii Trip: Part 2

วันที่สอง: ตื่นกันแต่เช้ามืดค่ะ เจ็ตแล็กเนื่องจากเวลาที่ฮาวายช้ากว่าที่โอไฮโอ 6 ชม. คริสลุกจากเตียงก็ออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง เปิดระเบียงออกไปปุ๊บก็ได้ยินเสียงด่าทอกันอยู่ข้างนอก ตามด้วยเสียงหวอรถตำรวจ ความรู้สึกปลอดภัยลดลงไปเยอะ ฮืม ไวกิกิมันแย่อย่างนี้นี่เอง ตอนที่อยู่ไม่ได้อยู่แถวนี้ รู้ว่าไวกิกิไม่น่าอยู่แต่เลยไม่รู้ว่ามันน่ากลัวใช้ได้ แถมที่พื้นระเบียงมีกระป๋องเบียร์อยู่หนึ่งกระป๋อง คาดว่าคงมีคน(เมา)โยนขึ้นมาให้เป็นของที่ระลึก อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จก็ออกมาเดินเล่น เป้าหมายเช้านี้คือหาซื้อบอร์ดให้ได้ เดินออกมาที่ชายหาดชมวิวมาเรื่อยๆ






เดินไปจนถึงส่วนที่เขาสร้างคล้ยๆเป็นสะพานปลาที่ยื่นลงไปในทะเล เรียกว่า The Wall หาดช่วงนี้จะมีคนมาเล่น boogie board กันเยอะ วันนั้นคลื่นก็แรงดีซะด้วย สูง 2-4 ฟุตได้มั้ง คริสเดินออกไปดูตาละห้อย อยากลงน้ำแต่ยังไม่มีบอร์ด

งานนี้ก็เลยต้องรีบหาบอร์ดค่ะ ต้องไปร้านที่อยู่ไกลออกไปหน่อย ต้องนั่งรถเมล์ไปก็เลยไปเอาตารางรถเมล์มาดู คริสก็บอกว่าอะ จะมีมาคันนึงในอีกครึ่งชม. ก็เลยไปหาอะไรทานที่สตาร์บัคส์ (ซึ่งมีอยู่ทุกหัวมุมถนนได้มั้ง) รอจนได้เวลาก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ นั่งรอไปซักพัก คือปกติรถเมล์ที่นี่จะสายอยู่แล้ว ซักห้านาทีนี่เรื่องปกติ แต่คราวนี้ เอ ไม่มาซักทีดูตารางใหม่ อ้าว วันนี้วันเสาร์ รถวิ่งน้อยกว่าปกติ ที่ดูเมื่อกี้มันของวันธรรมดา ก็เลยเอาวะ เดินกันไปก่อนละกัน รถเมล์มาเมื่อไหร่ค่อยขึ้น ก็เริ่มออกเดินกัน ตอนนั้นแดดก็ร้อนแล้ว เดินไปก็คอยดูข้างหลังไปด้วย เผื่อรถเมล์มาจะได้วิ่งไปขึ้นที่ป้ายทัน เดินกันไปสักสิบห้านาทีก็ยังไม่เห็นรถเมล์ซักคัน จนไปถึงร้าน Leonard's ชื่อดังที่ขายโดนัทโปรตุเกส (เรียกว่า malasada) ร้านนี้อยู่บนถนน Kapahulu ถนนเส้นนี้มีร้านอาหารดังๆ ราคาไม่แพงอยู่หลายร้าน ใครจะมาฮาวายแนะนำให้มาที่ถนนเส้นนี้ ดีกว่าอยู่แต่ในไวกิกิเยอะ อ้อมเองเล็งไว้อยู่แล้วว่ามาถึงนี่ต้องกินโดนัทร้านนี้ให้ได้ก็เลยแวะซะเลย
ซื้อแบบธรรมดามา 3 ก้อน กับแบบใหม่ใส้คัสตาร์ดหนึ่งและช็อกโกแล็ตสอง ต่อคิวอยู่นานเหมือนกัน ร้านนี้จะเป็นร้านแบบเก่าๆหน่อย ไม่มีการตกแต่งแฟนซีอะไร เหมือนร้านเบเกอรี่ในตลาดบ้านเรานั่นแหละ เค้กก็หน้าตาธรรมดาๆ ราคาไม่แพง ชอบๆ
เดินกันไปเรื่อยๆ รถเมล์ไม่มาอยู่ดี สรุปเลยเดินกันจนถึงร้าน boogie board ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีได้ เหนื่อยชิบป๋ง เดินไปก็บ่นกันไปว่า ทำไมเมื่อก่อนเดินได้เดินดี แต่ตอนนี้มันเหนื่อยจัง ไปถึงร้าน ร้านยังไม่เปิดค่ะ! ต้องนั่งรออีกครึ่งชม. คริสปวดฉี่ก็ต้องเดินหาห้องน้ำอีก แล้วปั๊มที่นี่มันคล้ายๆบ้านเราคือไม่มีห้องน้ำให้ใช้เหมือนปั๊มในอเมริกาทั่วๆไป กว่าจะเดินหาที่ให้คริสเข้าห้องน้ำได้อ้อมก็หงุดหงิด บอกไม่เดินแล้วนะ แล้วอ้อมก็ไปนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ร่มๆ กินมาลาซาดาไปหนึ่งก้อน อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย หิหิ หอมนุ่มที่สุด นั่งรอจนร้านเปิด คริสซื้อบอร์ดเสร็จ ก็ออกมานั่งรอรถเมล์กลับ อ้อมเห็นร้านซูชิที่เคยซื้อทานก็เลยขอแวะหน่อย ซื้อใส่กล่องกลับมาทาน สั่งเสร็จก็ต้องคอยเล็งดูที่ป้ายรถเมล์ไปด้วยว่ารถเมล์มารึยัง ซื้อเสร็จปุ๊บรถมาพอดี เดี๋ยวนี้รถเมล์ราคาเที่ยวละตั้ง $2 แต่สามารถขอใบ transfer มาใช้ขึ้นต่อได้อีกหนึ่งครั้งในเวลาที่กำหนด อ้อมกับคริสก็ต้องต่ออีกสายเพื่อกลับไปไวกิกิ พอกลับไปถึงโรงแรมก็คุยกับทางฟร้อนท์เดสก์เรื่องอัพเกรดห้อง เขาก็เช็คให้แล้วบอกว่ามีห้องว่างบ่ายนี้ แต่ต้องเสียเพิ่มคืนละ $20 ได้เป็นห้อง city view/kitchenette ก็โอเคแต่ขอดูห้องก่อนละกัน แล้วอ้อมกับคริสก็เปลี่ยนชุดกันเดินไปที่ The Wall (เดินอีกสิบห้านาที วันนี้เดินมาราธอนมาก)ให้คริสได้ออกไปโต้คลื่น ส่วนอ้อมก็นอนอาบแดด ดูผู้คน(ไม่ค่อยมีหนุ่มๆเท่าไหร่เลย) หม่ำซูชิที่ซื้อมา แฮปปี้มากเจ้าค่ะ
ทรายที่ไวกิกิไม่ขาวสวยเหมือนบ้านเราเลยเนอะ จริงๆน้ำทะเลหาดนี้ก็สกปรกด้วย พอคริสโต้คลื่นเสร็จก็แฮปปี้บอกว่าคุ้มๆๆ เออก็ดีไป เหนื่อยชิบป๋งกว่าจะได้บอร์ด แพงด้วย

กลับไปโรงแรมก็ไปดูห้องที่เขามีให้เปลี่ยน โอเคเลย ห้องกว้างกว่าเดิม ระเบียงก็ใหญ่กว่า อยู่บนชั้นสิบสอง ลมดี วิวก็ใช้ได้ เห็นตึกต่างๆ และ เสี้ยวๆของ Diamond Head นิด เสี้ยวทะเลหน่อย แต่ดีกว่าวิวที่ทิ้งขยะเยอะ ก็เลยเก็บกระเป๋า ย้ายห้อง




จัดของเสร็จก็ออกมาเดินเล่นกันอีก หาข้าวเย็นทาน อ้อมอยากทานราเมน ก็เลยเข้าร้านที่ดูเหมือนจะดี
เกี๊ยวซ่าอร่อยดี แต่บะหมี่งั้นๆมาก แถมแพงค่ะ แพง กินเสร็จออกมาซื้อเบียร์ไปนั่งดื่มชมวิวที่ระเบียงกันต่อ จนง่วงก็เข้านอน

----จบวันที่สอง----

Sunday, July 9

Hawaii Trip: Part 1

ดองมาได้ซักพัก ได้ฤกษ์เขียนซักที คือทริปนี้ไปแล้วไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมโพรดักทิฟมาก จริงๆอ้อมกับคริสเที่ยวที่ไหนก็ไม่ค่อยมีกิจกรรมอยู่แล้วล่ะ นอนอิ่มตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน

วันแรก: อ้อมกับคริสออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด เครื่อง Northwest ออกจาก Canton/Akron Airport ตอนเจ็ดโมงเช้า เหนื่อยมาก เพราะเข้านอนก็ดึกคืนก่อนหน้านั้น เพราะคุณคริสจัดของไม่เสร็จ ภรรยาก็ต้องช่วย อ้อมถนัดการแพ็คกระเป๋าอยู่แล้วด้วย ชอบแพ็คเพราะหมายถึงจะได้เดินทาง ของตัวเองแพ็คเสร็จตั้งแต่ก่อนไปนิวยอร์คแล้ว

ไปฮาวายคราวนี้ต่อเครื่องสองรอบ บินไป Detroit ก่อน แล้วก็ไป Minneapolis เสร็จแล้วก็บินยาว 8 ชม.ไปฮาวาย ไอ้บินสั้นๆสองเที่ยวแรกไม่เท่าไหร่ แต่แปดชม.หลังนี่หนัก อ้อมก็นอนไม่ได้มาก คริสงี้นอนไม่ได้เลย ขอบ่นนอร์ธเวสต์หน่อยด้วย บินตั้งแปดชม.ไม่มีอาหารเสริฟค่ะ!! อยากทานต้องซื้อเอา snack box กล่องละ $3 แซนด์วิชแห้งๆอันละ $5 ก่อนขึ้นเครื่องอุตส่าห์กินตุนไปเต็มที่ แต่ไม่ไหวต้องจำใจซื้อแซนด์วิชมาทาน คือก็เข้าใจว่าสายการบินอยู่ในช่วงล้มละลาย แต่แหม มาเหนียวกับผู้โดยสารอย่างนี้ ใครมันจะอยากมาบินด้วยล่ะเนี่ย ราคาก็ไม่ใช่ low-cost airline ซักหน่อย อ้อมกับคริสกะว่าพอใช่ไมล์ที่สะสมมาบินฟรีไปเมืองไทยแล้วจะลองบินสายการบินอื่นดูบ้าง


กว่าจะไปถึงสนามบินฮอนโนโนลูลู ก็แฮ่กค่ะ (แต่ขอชมคุณกัปตันหน่อย แลนด์ได้นิ่มมากๆ นิ่มที่สุดเท่าที่เคยได้เจอมา ผู้โดยสารปรบมือให้เกรียวกราว) ยังดีที่ไปถึงฮอนโนลูลูตอนบ่ายสามของที่นั่น ก็เลยไม่รู้สึกว่าต้องเข้านอนทันที รับกระเป๋าเสร็จก็ลากกันออกมาหน้าเทอร์มินอล ตอนแรกว่าจะนั่งแท็กซี่ (แต่ก่อนประหยัดมาก นั่งรถเมล์ ซึ่งต้องไปต่ออีกสาย) แต่พอออกมาก็เจอคนมาถามว่าจะนั่งรถบัสมั้ยส่งลงหน้าโรงแรมเลย คนละ $9 เหรียญ คำนวณดูแล้วถูกกว่านั่งแท็กซี่ครึ่งนึงก็เลยโอเค รอรถบัสอยู่สักสิบนาที ก็ขึ้นรถ คนเต็มคัน วิ่งเข้าตัวเมืองก็เริ่มเห็นวิวที่คุ้นเคย ความทรงจำเก่าๆก็เริ่มกลับมา รถบัสนี้วิ่งส่งผู้โดยสารที่ Waikiki เท่านั้น (คือเกือบทุกโรงแรมก็อยู่บนไวกิกินั่นแหละ) วิ่งไปรถติดไปซักสี่สิบนาทีก็ถึงโรงแรม

โรงแรมที่พักชื่อ
Ohana West อยู่บนถนน Kuhio ถนนหลักๆที่แล่นขนานหาดไวกิกิมีสองเส้นคือ Kalakaua (อ่านว่า คาลาคัว-อา) ที่เป็นเส้นติดหาดกับ Kuhio ที่ห่างออกมาหนึ่งบล็อค เพราะฉะนั้นโรงแรมนี้ก็ไม่ติดหาด เป็นโรงแรมสามดาว ไม่หรูหราอะไร อ้อมกับคริสเช็คอินเสร็จ เขาก็บอกว่าห้องอยู่ชั้นหนึ่งนะ เราก็เฮ้ย ติดถนนเลยเหรอ จริงๆไม่ใช่ มันมีชั้นล็อบบี้กับชั้นลอยก่อนชั้นหนึ่ง ก็เท่ากับชั้นสาม ทีนี้ด้วยความประหยัด เราจองแพ็คเกจตั๋ว+โรงแรมที่ถูกสุดมา กะว่าจะมาลองอัพเกรดห้องกับโรงแรมเองถ้าได้ห้องห่วย ก็ได้ห้องห่วยจริงๆ ห้องมีระเบียง (ที่ฮาวายเรียกว่า lanai) เล็กอยู่เหนือดัมพ์สเตอร์ที่ทิ้งขยะ วิวเก๋มาก เปิดหน้าต่างระเบียงออกมาก็จะได้ยินเสียงรถราสารพัด และห้องก็เล็กด้วย แต่ก็เอาวะ ฟร้อนท์เดสก์บอกว่าวีคเอนด์นี้ห้องจองมาเต็มไม่รู้จะได้อัพเกรดรึเปล่า อ้อมกับคริสก็รื้อกระเป๋าออกมาจัดเอาเสื้อผ้าเข้าตู้เรียบร้อย อาบน้ำอาบท่ากันให้สดชื่นหน่อย เสร็จแล้วก็ออกมาเดินเล่นแบบมีจุดประสงค์ คือคริสต้องการหาซื้อ boogie board ไว้สำหรับโต้คลื่น (อยากเห็นว่าคริสโต้คลื่นแล้วเท่ห์ขนาดไหน ต้องรออ่านตอนต่อๆไป) คุณเธอใจร้อนอยากเล่นมาก ก่อนมาก็เช็คแล้วว่าบอร์ดรุ่นที่อยากได้มีขายที่ร้านๆนึงอยู่ไกลจากไวกิกิออกไปหน่อย พอโทรไปเช็คอีกที อ้าวร้านกำลังจะปิดเสียแล้ว อ้อมกับคริสก็เลยลองเดินหาบอร์ดตามร้าน surf shop แถวๆไวกิกิดู เดินเข้าเดินออกอยู่หลายร้านก็หาไม่ได้ เพราะหนึ่ง ร้านส่วนใหญ่ขายแต่ surf board สอง รุ่นที่คริสอยากได้เนี่ยหายาก เป็นบอร์ดใหญ่ สูง 45 นิ้ว ยี่ห้อ BZ ชื่อรุ่นเรียกว่า Big Braddah คือบอร์ดต้องใหญ่สมตัว ไม่งั้นรับน้ำหนักไม่ไหว ฮ่ะๆ เดินกันอยู่นานมากก็ไม่เจอบอร์ดที่อยากได้ เหนื่อยแล้วด้วยก็เลยไปหาอะไรทานกันที่ฟู้ดคอร์ทของ The International Market Place (เป็นตลาดขายของที่ระลึก) ไปถึงไม่ต้องคิดมากเข้าร้านประจำเลย ชื่อ Yummy Korean BBQ เป็นร้านขายอาหารเกาหลีที่มีสาขามากที่สุดในฮาวาย อ้อมกับคริสสั่งบุลโกกิเนื้อมาจานใหญ่แบ่งกันทาน จานใหญ่นี้จะให้เลือกเครี่องเคียงได้สี่อย่าง ก็มีถั่วงอกผัด (ไม่ได้ทานถั่วงอกตั้งแต่มาอเมริกา) กิมจิ (ที่ขาดไม่ได้) สลัดสาหร่าย (ของโปรดอ้อม) กับ macaroni salad (ของโปรดคริส) อิ่มกำลังดี

ทานเสร็จก็เดินกลับโรงแรม เข้าห้อง นอนค่ะ สลบเหมือด

----- จบวันแรก -----

Thursday, July 6

Niagara Falls


ตอนนี้รู้สึกว่ามีอะไรให้เขียนถึงมากมาย ไม่อยู่บ้านสิบวัน กลับมาต้นไม้พืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้โตขึ้นจม แมดดี้ก็ดูสูงขึ้นตัวใหญ่ขึ้นมาก มี material ให้เขียนเยอะ ก่อนจะว่าด้วยเรื่องเที่ยวฮาวายขอเขียนเรื่อง Niagara Falls ก่อนดีว่า ตามลำดับไป จะได้ไม่ลืม ที่สำคัญรูปน้ำตกสวยๆมีเยอะ

ก่อนบินไปฮาวายสองวัน คริสต้องไปประชุมที่เมือง Rochester นิวยอร์ค ขับรถไปจากบ้านก็ประมาณ 350 ไมล์ได้มั้ง ออกจากบ้านวันพุธบ่าย แวะค้างคืน ประชุมวันรุ่งขึ้นแล้วก็ขับกลับบ้าน เวลาขับไปต้องผ่านเมือง Buffalo ซึ่งก็อยู่ใกล้กับน้ำตก Niagara ขาไปคริสก็บอกว่าแวะเที่ยวหน่อยละกัน ตอนแรกว่าจะแวะขากลับแต่คิดไปคิดมากว่าจะเสร็จธุระก็คงบ่าย ถ้าแวะเที่ยวด้วยกว่าจะถึงบ้านคงสลบ วันถัดมาต้องตื่นขึ้นเครื่องไปฮาวายแต่เช้ามืด สรุปว่าไปถึงน้ำตกตอนสักทุ่มนึงได้ อากาศดีมากๆตอนนั้น ไม่ร้อนไม่เย็น แดดยังออกจ้าอยู่เลย ไปถึงก็จอดรถเดินออกมาที่ปาร์ค เดินไปเดินมา อ้าว จอดรถผิดที่นี่หว่า น้ำตกที่อยากไปมันอยู่ตั้งตรงนู้นแน่ะ ต้องเดินไปอีกพอสมควร แต่ก็เอาวะ ไหนๆมาแล้ว ต้องไปดูให้หมด ก็เลยเดินกันไปอีกซักสิบห้านาทีได้ มาจนถึงส่วนที่เขาขายตั๋ว Cave of the Winds คือส่วนที่ให้เราลงลิฟท์ไปข้างใต้น้ำตกแบบใกล้ชิด คนละสิบเหรียญแน่ะ แต่ก็เอาเถอะเพื่อประสบการณ์ ก็ซื้อตั๋วกัน เจ้าหน้าที่เขาก็แจกเสื้อกันฝนพลาสติกให้คนละตัว รองเท้าฟองน้ำคนละคู่กับถุงพลาสติกอีกใบ ก็คือให้เราเปลี่ยนรองเท้าซะ ที่เขาแจกมาให้นี่เราเก็บไว้ได้เลย รวมอยู่ในราคาตั๋วแล้ว เปลี่ยนเสร็จก็มาต่อคิวลงลิฟท์ ลิฟท์นี่ลงไปลึกร้อยกว่าฟุตได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าขุดอยู่สองปีกว่าจะเสร็จ ออกมาจากลิฟท์ตอนแรกเห็นวิวแบบรูปข้างล่างนี่ เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่พูดอะไร อ้อมกับคริสก็ เอ เสียสิบเหรียญได้ดูแค่นี้หรือเนี่ย แล้วไหนล่ะที่ว่าจะเปียก แบบสัมผัสน้ำตกได้
จริงๆก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอกค่ะ คุณไกด์เขารอให้อีกกลุ่มนึงเดินออกไปก่อน แล้วค่อยปล่อยกลุ่มเราเข้าไป เดินไปอีกทางก็จะเห็นตัวน้ำตกไหลลงมาจากหน้าผาอลังการมาก สวยๆๆๆๆ ไม่พูดมากละ ดูรูปกันดีกว่า



รูปนี้วานให้ครอบครัวคุณแขกครอบครัวนึงถ่ายให้ แบบว่าเขาขอเราก่อน เราเอามั่ง

อีกมุมนึงมองออกไปเห็นอีกน้ำตกที่ใหญ่กว่า อยู่ไกลๆ


ดูวิดีโอฟังเสียงน้ำตกหน่อยนะคะ อย่าลืมเปิดลำโพงคอมพ์ล่ะ




หนุ่มอวบกับสายรุ้งข้างหลัง
จริงๆมีส่วนที่ให้เดินขึ้นไปให้ได้เจอละอองน้ำตกกับลมแรงพัดมาใส่ตัวด้วย ถ้าขึ้นไปตรงนั้นเปียกทั้งตัวแน่ๆ อ้อมกับคริสมองหน้ากันแล้วก็บอกว่าไม่เอาดีกว่า ขี้เกียจเปียก กางเกงก็ใส่มากันตัวเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่แห้งล่ะยุ่งเลย แค่นี้ก็ได้สัมผัสน้ำตกพอแล้ว เดินกลับมาถ่ายรูปน้ำตกที่อยู่ไกลออกไปอีกรอบ สวยๆๆๆ แต่นกเยอะไปหน่อย แอบมีกลิ่นขี้นกด้วย
ซูมกล้องเข้าไป อยากไปน้ำตกนั้นด้วยแต่ไม่มีเวลาแล้ว
ขากลับขึ้นลิฟท์ออกมาข้างนอกแล้วถ่ายรูปกับน้ำตกอีก แบบไม่มีเสื้อกันฝน แต่ไม่เปียก เอ๊ะทำได้ไง ข้างหลังเป็นฉากค่ะ เหมือนจริงใช้ได้เหมือนกัน รูปนี้พี่แขกคนเดิมถ่ายให้ ดูรักกันหวานชื่นมั้ย หิหิ มีคนถามด้วยว่ามาฮันนีมูนเหรอ บอกเปล่า แต่งมาสักพักแล้วนะ
เสร็จจาก Cave of the Winds ก็เดินมาข้างบนน้ำตกที่เพิ่งไปเดินข้างใต้มาเมื่อกี้ อันนี้ลำธารที่ไหลลงน้ำตก
มองลงไปที่ๆเพิ่งไปเดินมาข้างล่าง
มุมข้างๆน้ำตก อีกฝั่งนึงเป็นประเทศแคนาดา

หลังจากนี้ก็ไปทานข้าวเย็นที่ Hard Rock Cafe แถวนั้นกันค่ะ อาหารก็ใช้ได้ แต่ป้ากับลุงไม่ค่อยชอบบรรยากาศเท่าไหร่ เสียงดัง ทานข้าวเสร็จก็ขับออกจาก Buffalo พักนอนที่โรงแรมก่อนถึง Rochester หน่อยนึง วันรุ่งขึ้นกว่าคริสจะเสร็จธุระก็บ่าย ขับรถยาวกลับมาถึงบ้านเกือบสามทุ่มแบบคลาดพายุฝนหนักและทอร์นาโดไปเฉียดฉิว จัดกระเป๋าถึงดึก คลานขึ้นเตียง เช้าตื่นมาตีสี่ครึ่งอาบน้ำแต่งตัวไปขึ้นเครื่องไปฮาวายค่ะ

ตอนหน้า ท้าลมร้อน ไปเที่ยวทะเล ฮูลา ฮูล่า ที่ฮาวายนะคะ


Wednesday, July 5

ถึงคุณตา

เวลาอยู่ไกลบ้านอย่างนี้ ข่าวที่ไม่อยากได้ยินที่สุดคือเรื่องคนที่รักไม่สบายหรือจากไป มันเป็นความกังวลลึกๆในใจที่อ้อมมีตลอด แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ (ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว)

เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาก็นึกถึงคุณตา ยังคิดอยู่ว่าจะถามแม่ว่าคุณตาเป็นยังไงบ้างช่วงนี้ จริงๆก็นึกถึงคุณตาตลอดแต่ไม่ค่อยได้ถามถึงเพราะพักหลังแม่บอกว่าคุณตาก็สบายดี ไม่มีเจ็บป่วยต้องไปหาหมออีก พอได้โทรไปหาแม่ แม่บอกก่อนเลยว่าให้ทำใจดีๆมีเรื่องจะบอก รู้เลยว่าต้องเป็นข่าวคุณตาแน่ๆ แม่บอกว่าคุณตาเสียแล้วเมื่อตอนบ่ายสี่โมงเย็นที่เมืองไทย ได้ยินเท่านั้นอ้อมก็ร้องไห้ แม่บอกว่าคุณตาไปดี หลับไปเฉยๆ ไม่ได้ทรมาณเลย แล้วก็พูดถึงเรื่องงานศพ เสร็จแล้วก็ให้อ้อมคุยกับพ่อ อ้อมก็ได้แต่บอกว่าเสียใจเพราะตอนคุณย่าเสียหลังจากอ้อมมาอเมริกาได้ไม่นาน อ้อมก็ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ได้ไปงานคุณย่า ไม่ได้รดน้ำคุณย่า คราวนี้มาคุณตาอีก แต่พ่อกับแม่ก็ปลอบบอกว่า ไม่เป็นไร ไว้กลับบ้านเมื่อไหร่ค่อยไปไหว้ก็ได้

แต่ก่อนคุณตาไม่ได้ใช้เวลามากนักกับลูกๆหลานๆเพราะคุณตาอยู่ปัตตานี ส่วนพวกเราก็อยู่กรุงเทพฯ แต่เมื่อไหร่ที่คุณตาเดินทางไปที่ไหนหรือขึ้นมากรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวก็จะรวมตัวกันมาทานข้าวกับคุณตาเสมอ คุณตาจะมีของมาฝากหลานๆทุกครั้งด้วย ช่วงก่อนอ้อมมาอเมริกาเป็นช่วงที่อ้อมรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดคุณตามากที่สุดเพราะคุณตามาอยู่ที่กรุงเทพฯมากขึ้นเนื่องจากปัญหาสุขภาพ อ้อมก็เลยมีโอกาสได้แวะเยี่ยมคุณตาบ่อยๆหลังจากกลับจากที่ทำงาน คุณตามักจะชอบคุยเล่าถึงเรื่องราวสมัยก่อนให้ฟัง อ้อมก็แวะซื้อของกินไปฝากคุณตาบ้าง ที่คุณตาชอบก็คือน้ำเก๊กฮวยของร้านธรรมชาติ แม่บอกว่าจนอ้อมมาอเมริกาแล้ว คุณตาก็ยังพูดถึงของกินที่อ้อมซื้อมาฝากอยู่เลย รูปข้างล่างคือรูปที่ถ่ายในงานแต่งงานอ้อมกับคริส คุณตาเดินแทบไม่ไหวยังอุตส่าห์มา อ้อมยังจำได้ว่าคุณตาอวยพรอ้อมกับคริสให้มีครอบครัวที่มีความสุขเป็นภาษาอังกฤษด้วย



อยากเขียนมากกว่านี้ แต่เขียนไม่ออกแล้ว อ้อมอยากบอกคุณตาว่าตอนนี้ไม่ว่าคุณตาจะอยู่ที่ไหน อ้อมกับคริสก็ยังนึกถึงคุณตาเสมอค่ะ

Tuesday, July 4

กลับมาแล้วค่า

กลับมาถึงบ้านเมื่อวานนี้ ตอนนี้ยังเพลียอยู่นิดๆค่ะ นอนยังไม่อิ่มดี รูปจากฮาวายก็ยังไม่ได้เอาลงเครื่อง คงต้องใช้เวลาเรียบเรียงนิดหน่อยก่อนแปะให้ดูพร้อมเล่าเรื่องนะคะ

เอารูปที่แวะไปเที่ยว Niagara Falls มาให้ดูเล่นๆก่อนละกัน


รูปน้ำตกสวยๆพร้อมคลิปวิดีโอยังมีให้ดูอีกเยอะ แต่วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะคะ วันนี้วันชาติที่นี่ พี่ๆคริสมาที่บ้านกัน อ้อมยังเจ็ตแล็กอยู่นิดหน่อย เดี๋ยวว่าจะไปงีบอีกซักตื่นก่อนดูบอลโลก