ว่าด้วยเรื่องไฟลท์่ก่อน
รูปเยอะมากๆเลย ยังไม่ได้ย่อกับอัพโหลดทั้งหมด จริงๆอยากทำรูปใ้ห้เสร็จก่อนเริ่มเขีีีีียน แต่ก็กลัวว่ากว่าจะทำรูปเสร็จก็ึึึเขียนไม่ออกพอดีเพราะลึมไปแล้ว นี่ก็เลยพยายามทำรูปไปด้วยเขียนไ้ปด้วยจะได้ไม่ทิ้งช่วงนาน แถมตอนนี้ึคริสก็ไม่อยู่ ไปเก็๋บงานที่นิวยอร์ึคและเอาแล็ปท็อปไปด้วย อ้อมก็เลยไม่มีึ keyboard ภาษาไืืทย ต้องจิ้มแบบเล็งๆเอา้่้เอง
เข้าเรื่องเลยดีกว่า ว่า้ด้วยเรื่องเที่ยวบินก่อน ตอนบินขาออกจากโอไฮโอก็ไปขึ้นเครื่องแต่้เช้ามืดที่สนามบิน Akron/Canton Regional Airport ที่เป็นสนามบินเล็กๆ มีซัก 4-5 เกทได้ ประมาณว่าเดินห้านาทีก็รอบแล้ว วันนั้นขึ้นเครื่องแต่เช้ามืดและอากาศก็หนาวมากๆ ติดลบ 4 ฟาเรนไฺฮท์ (---สรุปว่าทนไม่ไหวไปเอาสติกเกอร์ภาษาไทยมาแปะคีย์บอร์ดแล้ว คราวนี้จิ้มสะดวกหน่อย---) วันก่อนขึ้นเครื่องอ้อมกับคริสก็ไปซื้อกุญแจล็อคกระเป๋าเดินทางที่มันถูกระเบียบของ TSA คือเป็นแบบที่ TSA มีกุญแจแม่ที่ไขออกได้กรณีที่ต้องการเปิดกระเป๋าเราตรวจ ก็ได้มาสามลูก ลูกละตั้ง $9 เรียกว่าทุ่มทุนมาก เพราะไม่อยากโดนตัดล็อกอีกเหมือนที่เคยโดนมาแล้ว ทีนี้อ้อมกับคริสก็มีกระเป๋าเช็คอินโหลดลงเครื่องสี่ใบ อีกใบนึงมันใช้ล็อกแบบนี้ไม่ได้เพราะเป็นใบแข็งใช้ตั้งรหัสล็อกเอา อ้อมก็เสียวๆอยู่แล้วว่าเดี๋ยวไอ้ใบนี้แหละจะต้องโดนเปิดตรวจแน่ๆ จะไม่ล็อกไปเลยก็กลัวเดี๋ยวกระเป๋าโดนกระแทกแล้วมันจะเปิดเอง ก็เลยไขล็อกเอาไว้กันเหนียว พอเช็คอินกระเป๋าเสร็จก็เห็นแล้วว่าเจ้าหน้าที่ TSA เขามาขนกระเป๋าไปเข้าเครื่องสแกน ในกระเป๋าเราก็มีสบู่ foam burst ของ Bath and Body Works อยู่หลายขวดแล้วมันก็เป็นขวดเหล็กๆ ตอนแพ็คของก็บอกกับคริสว่าโดนเปิดตรวจแหงๆเลย แต่โชคดีมากๆ เนื่องจากว่าสนามบินนี้มันเล็ก ไอ้เครื่องสแกนกับที่เปิดตรวจกระเป๋ามันก็อยู่ติดๆกับเคาน์เตอร์เช็คอินนี่แหละ อ้อมก็เลยเดินตามเจ้าหน้าที่ที่เขาขนกระเป๋าเราไปแล้วก็ลุ้นว่าถ้าเขาจะเปิดกระเป๋าใบไหนดูก็ขอให้เปิดอันที่มีล็อคที่เขาไขได้ด้วยเหอะ ปรากฏว่าเป็นอย่างที่กลัวไว้จริงๆ เจ้าหน้าที่ดั๊นจะเปิดไอ้ใบที่เป็นรหัสล็อกซึ่งอ้อมก็ไม่ได้ตั้งรหัสไว้แต่แค่ไขกุญแจล็อกไว้หน่อยนึง คือปกติเจ้าหน้าที่เขามีอำนาจที่จะงัดกระเป๋าเราเปิดได้อยู่แล้ว แต่พออ้อมเห็นแบบนี้ก็เลยทำใจกล้า(แต่หน้าแหยๆ)เข้าไปบอกเขาว่ากระเป๋านั้นน่ะของไอเอง มีกุญแจอยู่นี่ ช่วยเอาไปเปิดได้มั้ย ดีที่เจ้าหน้าที่เขาก็ใจดีรับกุญแจไปไขเปิดกระเป๋าเสร็จสรรพ โดยที่เขาเองก็โดนอีกคนดุว่าจริงๆมันทำอย่างนี้ไม่ได้นะ แถมเปิดกระเป๋าตรวจเสร็จยังถามว่าจะให้ไขล็อกกลับคืนให้มั้ยอีกต่างหาก น่ารักมากๆ อ้อมก็รีบขอบคุณเขาใหญ่เลย โชคดีไป กระเป๋าไม่เสียหาย
พอหมดเรื่องกระเป๋าก็เข้ามารอขึ้นเครื่องที่เกต รอไปรอมาก็เห็นคุณกัปตันออกมาบอกผู็โดยสารเองเลยว่าเครื่องดีเลย์ (บอกแบบปากเปล่าด้วยนะ ไม่ต้องใช้ไมค์ ฮ่าๆ บอกแล้วว่าสนามบินมันเล็ก) เพราะอากาศหนาวเกินไปสตาร์ตเครื่องไม่ติด คือมันเป็นเครื่องเล็กแบบใบพัด ไม่ใช่เครื่องเจ็ต ฮ่าๆๆๆ ฮาที่สุด ต้องเอาฮีตเตอร์ไปจ่อเครื่องยนต์ให้มันอุ่นพอก่อนถึงจะสตาร์ตได้ แต่ที่หนักไปกว่านั้นก็คือทั้งสนามบินมีฮีตเตอร์อยู่เครื่องเดียว ต้องจอเครื่องยนต์ทีละข้าง ข้างละ 45 นาที สรุปดีเลย์ไปชม.ครึ่ง ดีที่อ้อมกับคริสมีเวลาต่อเครื่องที่ดีทรอยต์สี่ชม.ก็เลยไม่มีปัญหา ไม่งั้นคงต้องวุ่นหาไฟลท์ใหม่ ก็นั่งๆนอนๆรอเวลขึ้นเครื่องไป ปรากฎว่าพอจะเดินไปขึ้นเครื่อง ไอ้ย่า ไอ้งวงๆมันใช้ไม่ได้ ต้องเดินฝ่าความหนาวไปที่ๆเครื่องบินจอดอยู่เอง ฮ่าๆๆ แบบเดียวกับขึ้นเครื่องที่สมุยแต่คนละอารมณ์กันเพราะหนาวมากๆๆๆ ลมก็แรง ดีที่อ้อมเอาเสื้อแจ๊กเก็ตนวมๆไป ตอนแรกเกือบใส่แต่สเวตเตอร์แล้วเพราะคิดว่าอยู่แต่ในตึกอุ่นๆตลอดกว่าจะไปถึงเมืองไทย
รูปข้างล่างนี่คือรูปทางเดินเชื่อมระหว่าง terminal ที่สนามบินดีทรอยต์ ดูอวกาศมากๆ คือไฟตามกำแพงจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ไม่รู้ทำไมเขาออกแแบบแบบนี้ กะให้ผ่อนคลายคนเดินทางเหนื่อยๆมั้ง แต่อ้อมว่ามันออกแนวหลอนๆมากกว่า
จากนี้ไปก็เดินทางไม่มีปัญหาดี บินไปหลับไปจนถึงนาริตะ เปลี่ยนเครื่องอีกรอบได้กินราเมนสมใจอยาก ถึงมันจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ กับได้เดินดูของในดิวตี้ฟรีที่นั่นให้น้ำลายหกเล่นๆ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร จากนาริตะก็มากทม. ได้เห็นสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรกแต่ด้วยความเหนื่อยก็ไม่ได้ถ่ายรูปไม่ได้เดินดูอะไรทั้งนั้นแหละ จำได้แต่ว่ามันดูทึมๆเทาๆไม่สว่างสดใสเท่าไหร่ พอกลับไปบ้านเปิดกระเป๋า อ้าว กุญแจที่อุตส่าห์ทุ่มทุนซื้อมาหายไปลูกนึง เซ็งเลย ไม่รู้หายไปได้ไง
ไหนๆเขียนเรื่องไฟลต์แล้วขอรวบเรื่องไฟลต์กลับมาอเมริกาด้วย จริงๆก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยทั้งไฟลต์ แต่มาหงุดหงิดเรื่องผู้โดยสารคนอื่นตอนบินเครื่องบินเล็กจากดีทรอยต์มาแอครอนแคนตันนี่แหละ คือเครื่องมันก็เล็กมากๆและเวลาบินก็สุดจะสั้นคือแค่ยี่สิบนาทีเอง เรียกว่าเครื่องขึ้นปุ๊บไต่ระดับเสร็จก็ปักหัวลดระดับทันที แต่ถึงจะเป็นไฟลต์เล็กมันก็ตามกฏใช่มะ คือก่อนเครื่องขึ้นห้ามใช้เครื่องสื่อสารหรือเครื่องใช้อิเล็กโทรนิคส์ทุกอย่าง คุณแอร์ก็ประกาศแล้ว แต่คุณผู้โดยสารที่นั่งใกล้ๆกับอ้อมใช้โทรศัพท์มันตั้งแต่เครื่องแท็กซี่ออกพอเขาประกาศให้ปิดก็ปิดไปแล้วก็หยิบไอพ็อดออกมารอเปิดทันที เครื่องยังไม่ทันจะขึ้นก็เปิดไอพ็อดฟังเฉย ตอนแรกที่เขาควักไอพ็อดออกมาคริสก็เหล่ๆไอ้คนนี้อยู่ อ้อมก็บอก เฮ้ยไม่เป็นไร เครื่องยังไม่เคลื่่อน เขาคงยังไม่เปิดหรอก ที่ไหนได้สักแป๊บแกเปิดฟังเฉยเลย แอร์เดินผ่านมาเช็คดูความเรียบร้อยก่อนเครื่องเทคออฟมันเอามือบังหลบแอร์อีกต่างหาก คริสก็บอกอ้อมให้บอกแอร์เลยเพราะอ้อมนั่งติดทางเดิน พอดีแอร์เดินผ่านไปแล้วอ้อมก็แบบเซ็ง ตัดสินใจหันไปบอกเจ้าตัวเองเลยว่า "Excuse me. I don't think you're supposed to have that on right now." เขาก็ปิดเครื่องไป คริสก็ทึ่ง โฮ้ย ภริยากรูลุยได้ด้วย บอกอ้อมว่า "You go, Girl!" ฮ่าๆ แต่ก็เท่านั้นอ่ะนะ พอเครื่องขึ้นปร๊าบแม่-ก็รีบเปิดไอพ็อดฟังทันที กัปตันยังไม่ได้บอกให้เปิดได้เลย คนแบบนี้นี่มันน่านัก ทำตามกฏแค่นี้ก็ไม่ได้แถมมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิตคนอื่นด้วยนะ พอเครื่องจอดก็อีหรอบเดิม รีบเปิดโทรศัพท์โทรทันที ทั้งๆที่จริงๆก็ต้องรอให้มีประกาศก่อน คนที่นั่งข้างหน้าก็เหมือนกัน รีบโทรศัพท์ทันทีแล้วเรื่องที่คุยแม่-ก็ไม่ได้ด่วนอะไรเลยนะ ทำไมรอไม่ได้ก็ไม่รู้ เห็นแล้วหงุดหงิดๆ แต่จะตามไปบอกทุกคนก็ใช่ที่ได้แต่ทำใจ
ไหนๆเขียนเรื่องไฟลต์แล้วขอเขียนเรื่องมีประโยชน์อีกหน่อย ใครที่จะบินมาอเมริกาต้องทำตามกฏของ TSA (Transportation Security Administration) เรื่องของที่เอาขึ้นเครื่องได้หรือไม่ได้ หลักๆก็คือ ห้ามเอามีดและของมีคมขึ้นเครื่อง ห้ามเอาไฟแช็คขึ้นเครื่อง และห้ามเอาของเหลวหรือเจลหรือครีมขวดใหญ่ๆขึ้นเครื่อง เอาขึ้นได้แต่ขนาดเดินทาง ไซส์ไม่เกิน 100 ml. หรือ 3 oz. และทุกอย่างต้องใส่ในถุงพลาสติกซิปล็อกขนาด quart size ได้ กฎนี้ตอนนี้ก็ใช้กับสนามบินอื่นๆด้วยแล้ว เช่นที่ญี่ปุ่น ส่วนสุวรรณภูมิบ้านเรายังไม่มีตรวจแบบนี้แต่มีแต่ป้ายเตือนคนที่จะเดินทางไปอเมริกาว่าให้ทำตามกฏนี้ด้วย
คลิกอ่านรายละเอียดที่เว็บไซต์ของ TSA ได้ที่นี่ค่ะ
7 comments:
น่าไปเบิร์ดกระหม่อมยัยคนนั้นจริง ๆ แย่มาก ๆ ดีแล้วที่อ้อมพูดไป เรื่องไรล่ะ ความปลอดภัยของคนทั้งลำ จะต้องมาเป็นไรเพราะความไม่เคารพกฏของคนแค่ไม่กี่คน แย่อ่ะ
ส่วนตรงทางเดินเชื่อมที่ดีทรอยท์ เราก็ทึ่งมาทีแล้วอ้อม อะไรมันจะแสงสีขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ แต่ก็อลังการงานเดินมาก ๆ เหะ เหะ
OohiO
แต๊งกิ้ววรี่มาชค่ะ คุณอ้อมสำหรับความรู้เรื่องไฟลต์เข้าเมกา เจจำได้ว่าตอนรับกระเป๋าที่ออสตินนะ กระเป๋าเรางี้เปิดอ้าอยู่ด้านหนึ่งเลย โมโหนะแต่ไม่รู้จะทำไง ขอให้ผ่านเข้ามาได้เป็นพอตอนนั้นที่คิดอ่ะ ยังไงเดี๋ยวรออ่านต่อนะคะ
อ่านแล้วแต่ดูรูปไม่ได้จ้ะ ช่วยด้วย
โอ๋ ไอ้คนนั้นน่ะ ผู้ชายอ่ะ ตัวเบ้อเริ่มเลย ฮ่าๆ
ใช่เนอะ เจเจ เวลาเห็นกระเป๋าเปิดหรือโดนค้นแล้วเลียหายเนี่ยเซ็งมาก
แม่คะ อ้อมทำรูปใหม่แล้วนะคะ เห็นรึยังเอ่ย
อ้อม พี่ชอบรูปที่ profile อ่ะน่ารักดี ส่วนเรื้องไฟล์ท มันน่าจริงๆๆ เลยเนอะเจ้าหมอนั่นอ่ะ
อืม เห็นบ่อยเหมือนกันนะฝรั่งที่ประมาณว่าชีวิตนี้ท่าจะขาดมือถือไม่ได้ ที่เห็นโทรกันก็แค่บอกว่า มาถึงแล้วนะ แค่น๊ะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าโทรตอนนั้นกับรออีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีค่อยโทรมันต่างกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ
ว่าแต่อ้อมเจ๋งมาก ฮี่ฮี่ฮี่
ยัยป้านี่น่าจะโนสั่งสอนจริงๆ อยากเสี่ยงชีวิตก้เสี่ยงไปคนเดียวจิ คนอื่นไม่อยากเสี่ยงด้วยหรอก เราก็ไม่ชอบเลยพวกที่ชอบฝ่ากฏนี่ แต่อ้อมเจ๋งมั่กๆ
Post a Comment